หมวดหมู่

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

CHAPTER 18

“...”
คุโรโกะไม่รู้ว่าตัวเองควรตอบว่าอะไรครั้นโดนถามเช่นนั้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามด้วยความห่วงใยหรือเพียงแค่อยากรู้ แต่บางสิ่งบางอย่างในใจบอกคุโรโกะว่าเขาไม่ควรตอบอะไรทั้งสิ้น...
คนตัวเล็กเมินคำถามของอาคาชิ เขาตัดสินใจค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อขาทั้งสองข้างเริ่มขยับ ความเจ็บปวดจากสะโพกเริ่มแล่นขึ้นสู่สมอง คุโรโกะล้มลงไปนอนที่พื้นอีกครั้งด้วยความทรมาน เรียวฟันขาวกัดริมฝีปากล่างอย่างขมขื่น สองมือกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ เขาต่อว่าตัวเองในใจด้วยความโกรธเคือง สภาพในตอนนี้ช่างแสนน่าอับอายแถมยังน่าสมเพช อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้ไกลแทบขาดใจ แต่ทำไมร่างกายของเขามันกลับไม่รักดีเอาเสียเลย
“นี่ สภาพแบบนั้นอย่าคิดหนีจะดีกว่า” ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาหาคุโรโกะ  ดวงตาคมกริบสีแดงทับทิมอันมีเสน่ห์ชำเลืองมองเด็กน้อยด้วยแววตาเรียบเฉย “ไปโดนอะไรมา  ร้องไห้ทำไม...”
คำถามแสนอ่อนโยนช่างขัดกับน้ำเสียงอันเย็นเยียบ ฝ่ามือหยาบกร้านค่อยๆ ยื่นไปข้างหน้าหวังที่จะช่วยพยุงร่างคุโรโกะขึ้นด้วยความหวังดี  ทว่าไม่รู้เพราะอะไร อยู่ๆ ความกลัวอันไม่ทราบที่มาเริ่มแล่นไปทั่วร่างกายของร่างเล็ก ดวงตากลมโตสั่นระริกครั้นเห็นใบหน้าคมคายของแวมไพร์หนุ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้  หัวใจเต้นโครมคราม อะดรีนาลินไหลพล่านไปทั่วร่างด้วยความหวาดผวา ร่างบอบบางสั่นเทิ้มก่อนที่เขาจะพาร่างของตนขยับหนีอาคาชิอย่างทุลักทุเล
ร่างกายอันทรุดโทรมถอยกรูดจนติดกำแพง ดวงตากลมโตที่มองมายังอาคาชิช่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเสียจนอีกฝ่ายทำหน้างง คนตัวเล็กเริ่มสะอึกสะอื้นก่อนที่มือบอบบางทั้งสองข้างจะยกขึ้นมาบังหน้าตัวเอง ราวกับว่ามันคือเครื่องป้องกันเพียงอย่างเดียวและเป็นเพียงอย่างสุดท้ายที่เขามี 
“ไม่... อย่า... ขะ...ขอโทษครับ  ขอโทษ...” ริมฝีปากบางอันสั่นระริกเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือเล็กๆ แสนเปราะบางเริ่มทำท่าปัดป้องไปมาราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังทำร้ายตนอยู่
ใบหน้าหล่อเหลาราบเรียบไร้อารมณ์เมื่อเห็นปฏิกิริยาอันผิดปกติของอีกฝ่าย ทว่าในใจกลับกำลังงุนงงและเต็มไปด้วยความสับสน  อาคาชิเองก็ไม่ใช่คนโง่ จากการประเมินสภาพร่างกายของคุโรโกะโดยคร่าวๆแล้ว ชายหนุ่มคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากว่าคุโรโกะโดนข่มขืนมา สังเกตจากช่องทางที่ฉีกขาดประกอบกับมีเลือดไหลออกมา ตามร่างกายมีแต่รอยฟกช้ำและรอยแดง บางอย่างในใจบอกเขาว่าบางทีเขาอาจด่วนสรุปมากเกินไป แต่ว่ามันพยายามคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ  
ปัญหาคือ...อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกหวาดกลัวมากถึงเพียงนี้
“เฮ้ เด็กน้อย” อาคาชิเอ่ยเรียกอีกครั้ง  ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าเข้าใกล้ 
“ไม่! อย่านะ อย่าเข้ามา! ฮึก...”
แต่ทันใดนั้นเองคุโรโกะก็ร้องออกมาสุดเสียงด้วยความกลัว ร่างบางโอบกอดตัวเองแน่นประหนึ่งว่าอาคาชิเป็นอสูรกายก็ไม่ปาน แวมไพร์หนุ่มชะงักเท้าอยู่ตรงนั้นด้วยความลำบากใจ  ทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ เป็นครั้งแรกที่อารมณ์อันซับซ้อนของมนุษย์ทำให้เขารู้สึกแย่ และไม่รู้ว่าทำไม...หัวใจถึงได้ปวดหนึบอย่างทรมานครั้นเห็นคุโรโกะกำลังเจ็บปวด
ทั้งที่ความจริงเขาควรดีใจสิที่คุโรโกะกำลังเจ็บ...
ตึก ตึก ตึก...
เสียงรองเท้าหนังที่กระทบกับพื้นปูกระเบื้องลายหินอ่อนค่อยๆ ดังขึ้นจากอีกด้านของโถงทางเดิน ก่อนที่เสียงนั้นจะใกล้เข้ามาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีเขียวมรกต ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้งด้วยความหงุดหงิด ครั้นดวงตาคมเข้มสังเกตเห็นอาคาชิยืนนิ่งอยู่  ริมฝีปากบางจึงเริ่มอ้าปากต่อว่าอีกฝ่ายฉอดๆ ด้วยความโกรธเคืองทันที
“อาคาชิ! ฉันบอกว่ายังพูดไม่จบ นายจะมาเดินหนีฉันแบบนี้ไม่...ได้” คำพูดที่เคยต่อว่าแวมไพร์สหายปาวๆ แผ่วเบาลงในคำสุดท้าย ครั้นนัยน์ตาเรียวรีสังเกตเห็นสภาพโดยรอบ เขาเบิ่งตาค้างมองคุโรโกะด้วยแววตาทั้งอึ้ง ช็อก และตกใจ  คนตัวเล็กนั่งตัวสั่น พลางกอดตัวเองคุดคู้อยู่ริมกำแพงด้วยสภาพร่างกายที่มีแต่ร่องรอยการถูกทำร้ายทารุณ เขาสลับสายตามองระหว่างมนุษย์ตัวน้อยกับอาคาชิสลับไปมาด้วยความสงสัย เริ่มถามตัวเองในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าไปมาอย่างแรงเพื่อตั้งสติ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?  ทำไมคุโรโกะถึงได้... ไม่สิ  นี่มันไม่ใช่เวลามาถาม เอ่อ...เอาไงก่อนนะ ใช่...ใช่แล้ว ฉันต้องช่วยเด็กคนนี้ก่อนเป็นอันดับแรก”  
ริมฝีปากหยักพึมพำกับตัวเองคล้ายคนละเมอ ดูจากคำพูดคำจาแล้วเจ้าตัวเองก็คงจะรู้สึกสับสนไม่น้อยกับเหตุการณ์ตรงหน้า และไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรกเช่นกัน แต่ว่าสภาพร่ากายของคุโรโกะต้องมาก่อน มิโดริมะจึงไม่ลังเลที่จะรีบเร่งฝีเท้าเดินตรงเข้าไปหาเด็กน้อยทันทีด้วยความเป็นห่วง  นัยน์ตาคมภายใต้แว่นกรอบสี่เหลี่ยมเหลือบกลับมามองอาคาชิเล็กน้อยด้วยแววตาไม่ไว้ใจก่อนจะค่อยเบนสายตากลับมาสนใจคนตัวเล็ก
“ฉันยังไม่ลืมเรื่องที่เราคุยกันค้างไว้หรอกนะ”
“...”
“ตอนนี้คุโรโกะมาก่อน ส่วนนายกลับห้องไปนั่งดูดนิ้วเป็นเด็กอมมือต่อไปซะ”
คำพูดของมิโดริมะทำให้อาคาชิขมวดคิ้วยุ่ง “หมายความยังไง...”
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ”
“...”
มิโดรมิเลิกสนใจอาคาชิ  แวมไพร์หนุ่มก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าคุโรโกะอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆ นั่งย่อตัวลงเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน ริมฝีปากหยักที่มักเหยียดเป็นเส้นตรงอยู่เสมอพยายามฝืนยิ้มเพื่อให้คนตัวเล็กไว้ใจ ทว่าเมื่อแก้วตาสีฟ้าครามเห็นผู้มาเยือนรายใหม่ ความหวาดผวาที่มีอยู่เต็มหัวใจก็ยิ่งทวีความกลัวมากขึ้นไปอีก ร่างกายอันบอบช้ำสั่นระริกไม่ต่างจากลูกนกวัยแรกเกิด  คุโรโกะร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวก่อนจะยกแขนขึ้นปัดป้องไม่ให้อีกฝ่ายสามารถแตะต้องตนเองได้
“อย่าเข้ามานะ! ฮึก...อย่าเข้ามา”
ร่างสูงชะงักไปเมื่อเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของคุโรโกะ ช่วงหนึ่งบนชีวิตแห่งความเป็นอมตะนั้นเขาเองก็เคยได้ร่ำเรียนวิชาทางจิตวิทยาและการแพทย์มาอยู่บ้าง แม้อาจจะยังด่วนสรุปไม่ได้ในตอนนี้เพราะข้อมูลมีน้อย แต่เขาสามารถแน่ใจได้เลยว่าอาการในตอนนี้ของคุโรโกะเป็นอาการของมนุษย์ที่กำลังกลัวบางสิ่งบางอย่างจะเข้ามาทำร้าย คาดว่าก่อนหน้านี้คนตัวเล็กน่าจะโดนกระทำอะไรบางอย่างมาที่อาจส่งผลให้ทั้งร่างกายและจิตใจบอบช้ำ  กลายเป็นความหวาดกลัวที่ฝังรากลึกอยู่ในใจคล้ายๆ พวกจิตไม่ปกติ  
แต่มิโดริมะเชื่อว่าคุโรโกะยังเป็นไม่ถึงขั้นนั้น  แม้จะเป็นวัยรุ่นแต่ทว่าสำหรับเขาคุโรโกะก็ยังเป็นแค่เด็กที่อ่อนต่อโลกภายนอก ด้วยอายุที่ยังน้อยแถมไม่บรรลุนิติภาวะแต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็คงจะหนักเกินไปสำหรับคนอ่อนไหวอย่างคุโรโกะ... 
ระหว่างที่คนตัวเล็กกำลังพยายามเอามือปัดป้องอย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาคมกริบสีเขียวมรกตจึงอาศัยโอกาสนี้ไล่สายตาสำรวจไปทั่วร่างกายผอมบางเพื่อหาสาเหตุอาการบาดเจ็บอย่างคร่าวๆ แต่ว่าสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ  คิ้วเรียวโก่งสีเขียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะเหลือบสายตากลับไปมองแวมไพร์สหายที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างจับผิด
“อะไร?” อาคาชิจับจิตสงสัยได้จากแววตา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “อย่ามากล่าวหากันจะดีกว่านะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเด็กนั่นเลยแม้แต่ปลายเล็บ”
“นายแกล้ง ไม่สิ...นายทำร้ายเขาไว้เยอะไม่ใช่หรือไง  จะให้ฉันเชื่อได้ไงกันว่าครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือนาย จะเชื่อได้สักแค่ไหนกันเชียว”
“เชื่อไม่เชื่อมันเรื่องของนาย ครั้งนี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเขาเลยแม้แต่นิดเดียว และฉันก็ไม่คิดจะแก้ตัวในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำด้วย”
“ไม่ใช่ครั้งนี้ แปลว่ามีครั้งก่อนงั้นสินะ”
“ใช่”
“...”
  การปฏิเสธในสิ่งชั่วร้ายที่ตนทำด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านทำให้มิโดริมะถอนหายใจออกจมูกเฮือกใหญ่ เขายังไม่ปักใจเชื่ออาคาชิเต็มร้อยก็จริง แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสอบปากคำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องช่วยรักษาคุโรโกะให้กลับมาเหมือนปกติโดยเร็วที่สุด แม้เขาจะไม่ได้หลงใหลเด็กคนนี้เหมือนพวกแวมไพร์ตนอื่นๆ แต่ความรู้สึกพิเศษบางอย่างในใจที่เขามีต่อคุโรโกะนั้น มันทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้... 
“ขอบอกไว้ก่อนนะว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น เด็กนี่ไม่ยอมให้นายแตะตัวเขาง่ายๆหรอก” อาคาชิเอ่ยขัดด้วยรอยยิ้มเหยียด ซึ่งท่าทางอันตื่นกลัวของคนร่างบางก็เป็นคำตอบได้อย่างดี
แม้จะฟังดูเหมือนลำบาก แต่มิโดริมะกลับคลี่ยิ้มบางๆ บนริมฝีปากอย่างอ่อนโยน “ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ฉันเชื่อมั่นว่าคุโรโกะจะรู้...”
“รู้อะไร?”  อาคาชิขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ มิโดริมะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา...
“รู้ว่าฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายเขา”
“...”
คำพูดเรียบๆ ไม่ได้เจาะจงอะไร แต่กลับแทงเข้าที่หัวใจของแวมไพร์หนุ่มจนมันด้านชาราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่  นี่น่ะหรือคือความรู้สึกที่มนุษย์เรียกกันว่าแทงใจดำ  รู้สึกเจ็บพิลึก...
“คุโรโกะ ใจเย็นๆนะ นี่ฉันเอง” มิโดริมะเอ่ยอย่างใจเย็นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปใกล้คนตัวเล็กอย่างช้าๆ ทว่าทันทีที่เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะแตะตน ความหวาดกลัวก็ทวีความรุนแรงขึ้นในทันที
“ไม่เอา! อย่ามาแตะต้องตัวผมนะ อย่าเข้ามา!” คุโรโกะดีดดิ้นอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว สองมือบางจับศีรษะตัวเองแน่นพลางก้มหน้าลงต่ำ ร่างอันบอบบางสั่นระริกอย่างสะอึกสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า มิโดริมะเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คิดไว้แล้วว่ามันอาจไม่ง่าย จะฝืนบังคับให้คนที่เพิ่งถูกทำร้ายจิตใจมาเชื่อใจเต็มที่คงยาก แต่เขาจะรีบร้อนไม่ได้ 
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร นี่ฉันเอง” ฝ่ามือแข็งแรงสัมผัสแขนที่ใช้ปัดป้องไล่เขาอย่างอ่อนโยน ร่างขาวซีดกระตุกเกร็งทันทีครั้นถูกแตะเนื้อต้องตัว  คุโรโกะหลับตาปี๋ด้วยความหวาดผวา ร่างที่เคยดิ้นขัดขืนพลันค่อยๆ หยุดขยับ ทว่ายังคงสั่นไหวด้วยความกลัว  
“ไม่...ไม่...”
“คุโรโกะ มองฉัน...มองตาฉัน”
มิโดริมะจัดการประคองใบหน้าหวานขึ้น บังคับให้อีกฝ่ายสบตากับตนเอง ดวงตาคมกริบสีเขียวมรกตจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตสีฟ้าคราม คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆ ด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะเปิดริมฝีปากพูดอย่างใจเย็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแสนแผ่วเบา แต่ทว่าความหมายของคำพูดที่สื่อออกมาผ่านทางน้ำเสียงและแววตานั้นช่างหนักแน่น
“ฉันจะไม่ทำร้ายนาย จะไม่มีทางทำร้าย”
“...”
“เชื่อใจฉันนะ...”
“...”
“ที่ผ่านมาฉันก็ไม่เคยทำร้ายนายไม่ใช่หรอ? จำได้ไหมตอนเราอยู่ในห้องสมุดด้วยกัน ตอนที่นายยิ้ม ตอนที่ฉันแกล้งเล่นละคร แค่นั้นมันยังไม่ชัดพออีกหรอว่าฉันไม่มีทางทำร้ายนาย”
“...”
“ได้โปรดส่งมือของนายมาเถอะ”
“...”
 “ไม่เป็นไร...ฉันอยู่เคียงข้างนายเสมอ”
คุโรโกะนิ่งไปในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างที่เคยสั่นน้อยๆ ด้วยความกลัวพลันค่อยๆ หยุดลง ดวงตากลมโตจ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบของอีกฝ่ายราวกับว่ากำลังอ่านใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น อาคาชิที่ยืนดูอยู่นานอย่างเงียบๆ ก็แอบคิดในใจว่ายังไงเสียก็คงไม่ได้ผลหรอก ไม่มีทางที่มิโดริมะจะทำได้แน่นอนอยู่แล้ว
แต่ทว่า...
“จะไม่...ทำร้ายผม”  ริมฝีปากบางเอ่ยทวนคำอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นคำถาม มิโดริมะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจในคำพูดของตน ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าคนตัวเล็กอย่างเชื่องช้า
“มาสิ”  
“...”
 ฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำลังทำหน้าที่ปกป้องตนเองค่อยๆ ลดต่ำลง แล้วเปลี่ยนเป็นยื่นไปแตะที่ฝ่ามือของแวมไพร์หนุ่มอย่างแผ่วเบา ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้อาคาชิถึงกับแอบเหวอในใจ ไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์ที่เคยแสดงความหวาดกลัวถึงเพียงนั้นจะไว้ใจคนอื่นได้ง่ายๆ ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ในขณะที่อาคาชิทำได้แค่ยืนอึ้ง มิโดริมะกลับยิ้มในใจด้วยความยินดี ความจริงไม่มีเหตุผลที่คุโรโกะจะเชื่อใจเขาด้วยซ้ำ แม้ตอนแรกที่ร่างบางมาถึงคฤหาสน์นี้เขาอาจจะพูดจาใจร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำรุนแรงจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ บางครั้งยังช่วยรักษาแผลให้และแสดงเจตนาออกไปชัดเจนว่าที่เขาทำทุกอย่างนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุโรโกะเปิดใจให้เขาง่ายกว่าคนอื่น  เชื่อใจเขา และเชื่อในทุกคำพูดของเขา... 
นั่นแหละคือผลตอบแทนของการไม่ทำร้ายคนอ่อนแอ...
เขาไม่นึกรำคาญคุโรโกะที่เป็นแบบนี้หรอก บางครั้งมันก็ต้องมีบ้างที่คนเราจะรู้สึกกลัวที่จะไว้ใจใครสักคน  ไม่ว่าจะมนุษย์หรือแวมไพร์ก็ไม่มีทางหนีความหวาดกลัวได้ มันวนเวียนอยู่ใกล้เรามากกว่าที่เราคิด และฝังรากลึกอยู่ในใจจนไม่อาจเอามันออกไปได้  แต่ทว่าวิธีที่จะเอาความหวาดกลัวออกไปได้นั้นช่างยุ่งยากเสียเหลือเกิน...
วิธีนั้นคือเมื่อหัวใจอันเต็มไปด้วยความหวาดผวาได้รับการเยียวยาด้วยความรัก  ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นและความกลัวจะค่อยๆ จางหายไปเอง  
“ไม่กลัวแล้วสินะ ไม่เป็นไร นายจะต้องโอเค” มิโดริมะจัดการพยุงร่างกายของคุโรโกะขึ้นอย่างช้าๆ  ทว่าความเจ็บปวดที่ยังไม่ทุเลาลงส่งผลให้ร่างผอมบางทรุดลงไปนั่งทันทีที่ฝืนยืนขึ้น  ริมฝีปากบางอันสั่นระริกร้องออกมาน้อยๆ ด้วยความเจ็บ มิโดริมะหรี่สายตามองคุโรโกะอยู่ครู่หนึ่ง  คิดกับตนเองว่าเห็นทีคงจะให้เดินกลับในสภาพนี้ไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจอุ้มอีกฝ่ายขึ้นในท่าเจ้าสาว เพื่อจะได้ย้ายไปจากตรงนี้ได้เร็วขึ้น และเพื่อสภาพร่างกายของคุโรโกะเองด้วย
“อ๊ะ มิโดริมะคุง...” เพราะถูกอุ้มขึ้นอย่างกะทันหัน จึงอดไม่ได้ที่คนตัวเล็กจะสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ แต่ว่าก็ไม่ได้ต่อต้าน...
ในจังหวะที่มิโดริมะกำลังจะเดินกลับไปห้องสมุดนั้น ดวงตากลมโตสีฟ้าครามอ่อนกลับได้สบกับดวงตาคมสีแดงทับทิมโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร และไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ คนตัวเล็กก็หลบสายตาหนีอาคาชิอย่างเย็นชา สองมือบางกำเสื้อของมิโดริมะแน่นราวกับว่ากำลังสะกดอารมณ์อะไรบางอย่างในใจ
หัวใจในหน้าอกข้างซ้ายกระตุกวูบไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ ดวงตาที่มีเพียงข้างเดียวไม่อาจมองใบหน้าหวานได้ถนัดนักว่ากำลังทำสีหน้าเช่นไร ความรู้สึกแปลกๆ อันไร้ที่มาเริ่มรุมเร้าเข้ามาในใจ อาคาชิสับสนกับตัวเองว่าทำไมเขาจะต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้นที่ถูกคนตัวเล็กเมิน 
ทั้งๆ ที่สำหรับเขาแล้ว...คุโรโกะจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ 
แล้วทำไมครั้งนี้เขากลับถึงรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ล่ะ?  ทำไมถึงรู้สึกอยากจะเข้าไปกอดปลอบ?  ทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วง? มันเหมือนกับความรู้สึกในตอนที่เขากับคุโรโกะอยู่ในป่าด้วยกัน ในตอนที่เขาเห็นคุโรโกะร้องไห้ กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร ร่างกายมันก็ขยับไปกอดปลอบเองเสียแล้ว  จนมาถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุของความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนั่นเรียกว่าอะไร...
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ?” ฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินพลันหยุดชะงัก มิโดริมะเอี้ยวหน้าหันกลับมามองอาคาชิเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ไปไหน และก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้เอ่ยปาก เจ้าตัวกลับเป็นคนชิงพูดเสียก่อน “บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่อนุญาตให้นายตามมา”
คิ้วเรียวโก่งสีแดงทับทิมชนกันอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมฉันถึงเข้าไปไม่ได้?”
“เพราะนายมันพูดจาขวางโลก ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่รักษาน้ำใจคนฟัง นึกอยากพูดอะไรก็พูด อีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่อยากให้นายตามมานั่นก็เพราะนายชอบทำร้ายร่างกายคุโรโกะ ให้เขาเห็นนายตอนนี้รังแต่จะทำให้สภาพจิตใจเขาย่ำแย่เอาเปล่าๆ”
“...”  คำต่อว่าต่างๆ นาๆ ไม่ต่างจากคำพิพากษาทำให้อาคาชิรู้สึกจุกในใจจนพูดไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาทำหน้าไม่พอใจด้วยความอับอายที่โดนตอกกลับเช่นนั้น สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปรากฏขึ้นตามข้อ ครั้นจะให้อ้าปากเถียงก็ดันคิดคำพูดแก้ตัวไม่ออก แม้ไม่อยากจะยอมรับมากสักเพียงใดแต่เรื่องที่มิโดริมะพูดมานั้นเกือบทั้งหมดก็เป็นความจริง...
“ถ้าเข้าใจแล้วงั้นฉันขอตัว” 
ชายหนุ่มหันหน้ากลับไปยังทางเดิมที่ตนคิดจะมุ่งหน้าไป ทว่าด้วยความใจอ่อนส่วนลึกในใจทำให้อดไม่ได้ที่แวมไพร์หนุ่มจะบอกใบ้แก่เพื่อนสนิท “ถ้าอยากตามมาก็ไม่ว่ากัน แต่ช่วยใช้ตัวตนที่แท้จริงของนายมาเถอะ ฉันคิดว่า...” มิโดริมะถอนหายใจ “ฉันคิดว่า...คุโรโกะต้องการความอ่อนโยนช่วยเยียวยาจิตใจ”
“...”
“แล้วเจอกัน”
มิโดริมะค่อยๆ เดินจากไป ก่อนที่สีดำทมิฬของโถงทางเดินอันมืดสลัวไร้แสงไฟจะค่อยๆ กลืนเขากับคุโรโกะให้หายไปกับความมืดมิดอย่างเชื่องช้า อาคาชิยังคงยืนนิ่งไม่ไปไหน ดวงตาสีแดงทับทิมข้างขวาจ้องมองกำแพงที่คุโรโกะเคยนั่งหวาดกลัวอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งงัน  ไล่สายตามองหยดเลือดและของโสมมบนพื้นพรมสีเลือดหมูด้วยแววไร้ความรู้สึก ในหัวสมองคิดใคร่ครวญถึงคำพูดปริศนาเมื่อครู่  
ช่างเป็นความหวังดีที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องเสียจริง... 
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายพยายามสื่อ  แต่บางครั้งเขาก็ลืมไปนานแสนนานแล้ว  ไม่รู้ว่าลืมไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นอะไรไปแล้ว กลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่ตัวเขาไม่รู้จัก   ความสงสัยนี้เริ่มกัดกินจิตใจเขาตั้งแต่ได้ใกล้ชิดกับคุโรโกะ เริ่มสงสัยกับตัวเองว่าแท้จริงตัวตนของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
คุโรโกะ...เรื่องทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดตั้งแต่ได้มาเจอนาย 
ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มน้อยๆ ไม่อาจรู้ได้ว่ากำลังยิ้มด้วยความรู้สึกเช่นไร ก่อนที่คำพูดอันแผ่วเบาจะถูกเอื้อนเอ่ยออกมากับตัวเอง โดยมีเพียงแค่อาคาชิเท่านั้นที่ได้ยิน
“เท็ตสึยะ  เธออยู่ในตัวของเด็กคนนั้นหรือเปล่านะ...”
...
...
...
มิโดริมะใช้ร่างของตัวเองผลักประตูเข้ามาแทนมือที่ไม่ว่าง ดวงคมกริบสีมรกตมองคนตัวเล็กในอ้อมอกด้วยความห่วงใย ก่อนจะกระชับอ้อมแกร่งแขนแน่นขึ้นเพื่อให้ร่างบางใกล้ชิดแผงอกเขา  แม้บาดแผลภายนอกอาจไม่หนักหนาถึงชีวิตแต่เขายอมให้คุโรโกะอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอก
“นายท่าน เกิดอะไรขึ้น?” ครั้นก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามาเหล่าภูติน้อยทั้งหลายต่างกาพากันบินลงมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แสงระยิบระยับพร้อมผงวิเศษตกลงมาอย่างแผ่วเบาตามการกระพือปีกของพวกเธอ
“ขอโทษนะ คือฉันมีเรื่องนิดหน่อย ทุกคนออกไปก่อนนะ" 
แม้จะยังสงสัยแต่เหล่าภูติป่าต่างพยักหน้ากันอย่างเข้าใจแล้วพากันบินออกไปตามช่องเล็กๆ ที่อยู่โดยรอบ  มิโดริมะคลี่ยิ้มให้พวกเธอแล้วหันมาให้ความสนใจเด็กน้อยในอ้อมอก  ก่อนจะนำร่างผอมบางไปวางไว้บนโซฟาอย่างนุ่มนวล
คุโรโกะไม่ปริปากพูดอะไรแม้แตคำเดียว อีกฝ่ายนั่งกอดเข่านิ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาอันเคยสดใสหมองมัวราวกับเมฆฝน  แวมไพร์หนุ่มเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาเลื่อนเก้าอี้โซฟาเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะหย่อนกายนั่ง โดยที่แววตายังคงจับจ้องคนตัวเล็กอย่างไม่ละสายตา
“เอ่อ...คุโรโกะ” มิโดริมะเอ่ยเรียกลองเชิง
คนตัวเล็กไม่ตอบ ดวงตากลมโตปรายตามองอีกฝ่ายน้อยๆ อย่างมีคำถาม เป็นการแสดงออกมาผ่านทางท่าทางว่ากำลังฟังอยู่  มิโดริมะกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอกับท่าทีอันเย็นชาของคุโรโกะ  เหงื่อชื้นเริ่มซึมออกมาตามขมับ ในตอนนี้เขาไม่แน่ใจเลยว่าคุโรโกะกำลังคิดอะไรอยู่
“ก่อนทำการรักษา ฉันขอตรวจร่างกายนายคร่าวๆ ก่อนได้ไหม?”
“...”
ความเงียบโอบล้อมคนทั้งสองนานอยู่หลายวินาที โดยที่คนร่างสูงนั่งนิ่งกุมประสานมือเข้าด้วยกันอย่างรอคอย  เพียงไม่นานคุโรโกะก็พยักหน้าลงยินยอม  ชายหนุ่มยกยิ้มนิดๆ เพื่อให้คนตัวเล็กสบายใจราวกับหมอที่เตรียมจะฉีดยาเด็ก ก่อนจะยื่นมือไปแตะบนร่างกายของคุโรโกะเพื่อตรวจสภาพบาดแผล
 แต่ทว่า...
“!”
เพี๊ยะ!
ทันใดนั้นเองร่างผอมบางก็สะดุ้งออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะปัดฝ่ามือออกแล้วขยับตัวหนีมิโดริมะอย่างตื่นกลัว  จากที่เคยหยุดสั่นก็เริ่มกลับมาสั่นอีกครั้ง แววตาที่จ้องมองมายังตัวคนร่างสูงก็เต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ ภาพความทรงจำอันเจ็บปวดเริ่มถาโถมเข้ามาภายในหัวสมองของคุโรโกะ มันคอยย้ำเตือนเขา...ว่าอย่าเชื่อใจใครง่ายๆ 
ครั้นได้เห็นท่าทางเริ่มไม่ดี มิโดริมะจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่คุโรโกะจะกลับเข้ามาสู่ความเศร้าอีกครั้ง “ถะ...ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ  ฉันเอง...ก็คงจะทำเกินไปหน่อย” ชายหนุ่มถอยห่างออกมาสองสามก้าวเพื่อสร้างระยะห่างความเชื่อใจระหว่างเขากับคุโรโกะ ดวงตาคมมองคนร่างบางด้วยความเป็นห่วง 
ไปเจออะไรมากันนะ...ถึงต้องหวาดระแวงขนาดนั้น
“...”
ในใจลึกๆ เองคุโรโกะก็รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก มิโดริมะเป็นผู้ชายที่เชื่อถือได้ อีกฝ่ายคอยทำดีกับเขาเสมอมาและไม่เคยทำร้ายเขาเลยแม้เพียงสักครั้ง แต่ว่าคราวอาโอมิเนะก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ?  ตอนแรกก็มาทำดีด้วยอย่างไร้พิรุธ แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ...ผลตอบแทนของความเชื่อใจที่เขาให้ไปกับสิ่งที่ตัวเขาได้รับนั้นมันไม่คุ้นกันเลยแม้แต่น้อย  แล้วเขาจะเชื่อได้ไงว่าสุดท้ายแล้วมิโดริมะจะไม่หักหลังเขาในภายหลัง 
เชื่อใครไม่ได้อีกแล้ว...
คนตัวเล็กคิดในใจกับตัวเองด้วยความเจ็บปวดหัวใจ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้  เมื่อครู่นั้น...ในตอนที่มิโดริมะยื่นมือมาหา เขารู้สึกเหมือนมีประกายความแสงแห่งหวังสาดส่องลงมายังตัวเขา เป็นประกายควาหวังที่เขารอคอยมันมาตลอดในช่วงเวลาตอนถูกอาโอมิเนะย่ำยี แต่พระเจ้าช่างใจร้ายกับเขานัก ถึงได้มอบมันให้แก่เขาในช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องการแบบนี้  ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจที่มิโดริมะมาช่วย เพราะเขาเองก็เป็นคนตัดสินใจมาด้วยตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อลองมาคิดเปรียบเทียบดูอีกครั้งยังไงมันก็เสี่ยงเกินไป...
“ขอโทษนะครับมิโดริมะคุง  ขอบคุณที่ช่วยผม แต่ว่า...”
“...”
“ด้วยเหตุผลบางอย่าง...ผมเชื่อใจคุณไม่ได้จริงๆครับ”
ครั้นเอ่ยปากจบคุโรโกะก็เร่งรีบยืนขึ้น  ในใจขอภาวนาขออย่าให้ทรุดลงไปนั่งเหมือนอีหรอบเดิม ซึ่งครั้งนี้คำภาวนาคงจะแรงกล้ามาก คนตัวเล็กจึงสามารถเดินฉิวไปยังหน้าประตูได้โดยไม่ล้ม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความเจ็บที่มันรุมเร้าเข้ามาได้
มือบอบบางยื่นไปที่ลูกบิดประตูเพื่อจะเปิดออก ทว่าแทนที่เขาจะได้เปิดประตูหนีออกไปข้างนอกสมใจปรารถนา กลับมีร่างของใครบางคนมายืนขวางทางไว้ซะก่อน  ดวงตากลมโตค่อยๆ เหลือบขึ้นมองชายหนุ่มด้วยแววตาลำบากใจ ก่อนจะชักแขนกลับดั่งเดิม พลางเม้มริมฝีปากแน่น
“ปล่อมผมไปเถอะครับ...”
“ไม่” คำตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็วทำให้คุโรโกะเงยหน้าขึ้นมองโดยพลัน เขาเม้มริมฝีปากน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเถียงสู้บ้าง
“คุณไม่มีสิทธ์มาห้ามผมนะครับ”
“ฉันเคยเรียนหมอมาก่อน และจรรยาบรรณที่พวกมนุษย์สอนฉันมาก็คือหมอจะต้องไม่ทิ้งคนไข้ พวกมนุษย์อย่างพวกนายเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรอ
“อึก...” ร่างบางสะอึกในใจอย่างเถียงไม่ออก
มิโดริมะยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า “ฉันพูดผิดหรือเปล่า?”
“ระ...เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกัน”
“ตามมา”
มิโดริมะไม่สนใจคำพูดใดๆ ของเขาทั้งสิ้น ฝ่ามือหนาจับแขนผอมบางให้เดินตามมาด้วยกันแต่ก็ไม่ได้รุนแรงมาก คนตัวเล็กจึงต้องเดินตามไปด้วยความจำยอม ทว่าภายใต้การกระทำแสนเผด็จการนั้นกลับมีความใจดีซุกซ่อนอยู่  เพราะมิโดริมะรู้ว่าหากไม่ทำถึงขนาดนี้อีกฝ่ายก็คงไม่ยอมทำตาม  
เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้คุโรโกะคงยังไม่ไว้ใจใครง่ายๆ แต่ขอเขารักษาก่อน เรื่องที่เหลือ...ค่อยว่ากันอีกที
คนตัวเล็กกลับมานั่งลงบนโซฟาเหมือนอีหรอบเดิม เด็กน้อยทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ยอมนั่งนิ่งแต่โดยดี  มิโดริมะเดินตรงไปยังตู้กระจกใสที่ภายในมีขวดยามากมายตั้งเรียงรายไว้แต่ว่ากลับจัดไม่ค่อยระเบียบนัก ชายหนุ่มหยิบยาขวดโน่นทีขวดนี้ทีขึ้นมาอ่านฉลากที่เขียนเองด้วยมือ ครั้นไล่สายตาอ่านแล้วพบว่าไม่ใช่ยาที่ตนเองต้องการ เขาจึงค่อยวางของในมือลงดั่งเดิมด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ   เวลาสำคัญที่ต้องการทีไรของที่อยากได้มักไม่โผล่มาสักที 
ใช้เวลาอยู่นานในที่สุดคนร่างสูงโปร่งก็เจอขวดยาที่ต้องการ ดวงตาคมกริบไล่สายตาอ่านฉลากให้แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะค่อยละออกมาจากตู้กระจกแล้วเดินตรงมาหาคุโรโกะ
“ทั้งหมดที่นายเห็นนั้นเป็นยาที่ฉันทำเองทั้งหมด แน่นอนว่าส่วนผสมของมันไม่ใช่วัตถุดิบธรรมดาอย่างที่นายคิด เพราะฉะนั้นฉันมั่นใจว่าแผลของนายจะหายเร็ว แต่ยังไงซะนายก็ควรจะพักผ่อนเพื่อร่างกายของตัวเอง อันที่จริงก็ไม่อยากให้หยุดเรียนหรอก เรื่องนั้นไว้ฉันจะคุยกับคิเสะให้”
“...” คนตัวเล็กนั่งเงียบ ดวงตางดงามมองฉลากเขียนชื่อยาตัวบรรจงด้วยมือ เริ่มเข้าใจว่าทำมันถึงถูกเขียนแปะไว้บนขวดยา
มิโดริมะแอบเหลือบมองคนตัวเล็กน้อยๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยพูดสิ่งที่ตนคิดออกไปอย่างลำบากใจ  ไม่รู้ว่าพูดถูกเวลาไหมแต่เขาคิดว่าตัวเขาจำเป็นต้องรู้  
“ลำคอของนายมีรอยช้ำสีม่วงคล้ายรูปมือ  แล้วก็...เอ่อ...”
“...” ร่างผอมบางกระตุกหนึ่งครั้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของมิโดริมะ ดวงตาคมกริบหรี่สายตามองปฏิกิริยานั้นด้วยความเป็นห่วง
ชายหนุ่มพูดติดขัดอย่างยากลำบากเพราะพยายามสรรหาคำดีๆ มาพูดให้มันดูไม่แย่จนเกินไป แต่ยังไงเสียความหมายของมันก็เลวร้ายคงเดิม “ตามตัวของนายมีแต่รอยจูบ เอ่อ...พูดให้ฟังดูโอเคก็รอยคิสมาร์ก แล้วก็รอยช้ำต่างๆ มากมายตามร่างกาย  ขาหนีบของนายมีรอยแดงคล้ายโดนเสียดสี แล้วก็...” ดวงตาคมเหลือบตามองต่ำลงมาหน่อย ก่อนจะค่อยเลื่อนสายตาขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยใบหน้าแดงจัด “ตะ...ตรงนั้นของนายฉีกขาดส่งผลให้มีเลือดออกมาจากบาดแผล และที่สะดุดสายตาฉันมามากที่สุดคือน้ำเหนียวสีขาว...”
“...”
“ฉันรู้ว่าไม่ควรพูด แต่ว่าฉันเองก็ไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่านายโดนอะไรมา”
“...”
“คุโรโกะ  ใครเป็นคนทำแบบนี้กับนาย?”
“...”
ช่างเป็นคำถามที่ตอบง่ายยิ่งกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ แต่ทว่ามันกลับเป็นสิ่งที่ยากนักในการบังคับที่จะเปิดริมฝีปากพูดออกไป คำถามนี้ช่างไม่ต่างจากปุ่มเล่นวีดีโอความทรงจำ ภาพการกระทำอันป่าเถื่อนประหนึ่งว่าตัวเขาไม่ใช่คนวนเวียนไปมาในสมอง สร้างบาดแผลให้แก่หัวใจดวงน้อยอันบอบบางจนมันแตกร้าว 
แขนผอมบางทั้งสองข้างโอบกอดตัวเองที่กำลังสั่นแน่นราวกับมันเป็นที่พึ่งสุดท้าย หยดน้ำตาบริสุทธิ์ค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตางดงาม ไหลรินผ่านแก้มขาวซีด  ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความรู้สึกขมขื่น  ความเสียใจที่เคยได้รับพลันถูกตอกเข้ามาในหัวใจจนคนตัวเล็กไม่อาจอดทนกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้  คุโรโกะไม่กล้าเอ่ยชื่อของผู้ชายคนนั้นออกมา เพราะแค่เพียงนึกถึง...เขาก็กลัวตัวสั่นจนพูดอะไรไม่ออก 
ไม่อยากนึกถึง...ไม่อยากได้ยิน...ไม่อยากจดจำเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
บาดแผลทางใจอันรุนแรงกว่าบาดแผลทางกายทำให้คุโรโกะไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ภายในเสี้ยววินาที ร่างบางกอดตัวเองแน่นทั้งน้ำตาที่อาบหน้า พลางสะอื้นไห้อย่างเงียบๆ กับตัวเอง  ภาพที่เห็นทำให้คนร่างสูงโปร่งรู้สึกว่าตนได้ทำผิดมหันต์ เขาคิดในใจกับตัวเองว่าไม่น่าไปเร่งรัดเอาคำตอบกับคุโรโกะตอนนี้เลย   เพราะเขาแท้ๆคนตัวเล็กถึงได้กลับมาร้องไห้อีกครั้ง...
“ขอโทษที...ฉันก็แค่อยากรู้ว่าใครกันที่มันกล้าทำเรื่องระยำแบบนี้กับนาย”  ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษจากใจจริงด้วยแววตารู้สึกผิด “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายนึกถึงเรื่องพวกนั้น...ฉันขอโทษ”    “...”
 “ถ้าไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้” ดวงตาคมมองดูเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย  “แต่ฉันเป็นห่วงนายจริงๆนะคุโรโกะ...” 
มิโดริมะเคลื่อนตัวเข้าไปนั่งใกล้คนตัวเล็ก  เสียงนุ่มทุ้มลึกที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความรู้สึกอันตรงกับวาจาที่กล่าวออกไป ฝ่ามือแข็งแรงยื่นไปแตะไหล่บางอย่างให้กำลังใจ แต่คุโรโกะกลับขยับตัวหนีออก มิโดริมะมองภาพนั้นอย่างเจ็บปวดใจ ก่อนจะค่อยถอยออกมาเช่นกัน
ใบหน้าคมคายก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกหน่วงในอก ก่อนจะทำตัวเป็นปกติภายในเวลาเสี้ยววินาที เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
“ฉันจะไปเตรียมน้ำสมุนไพรให้อาบ  สมุนไพรพวกนั้นเป็นสมุนไพรวิเศษที่ฉันปลูกเอง แผลพวกนั้นหากทายาไปคงใช้เวลานานกว่าจะหาย เพราะฉะนั้นฉันจะเตรียมน้ำให้”
คนตัวเล็กเหลือบมองมิโดริมะด้วยความสงสัย  มือบอบบางยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาตัวเองออกจากใบหน้าอย่างแผ่วเบา “แล้วคุณเอายาขวดนี้มาทำไมครับ...”
“เอ่อ...” แวมไพร์หนุ่มทำท่ากระอั่กกระอ่วน “มันเป็นยาสำหรับทาภายในน่ะ...”
“...”
คนตัวเล็กมองขวดยาบนโต๊ะด้วยสายตานิ่งงัน ก่อนที่ใบหน้าหวานจะพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ  ครั้นมิโดริมะได้เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่คุโรโกะไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน  
“งั้นฉันจะไปเตรียมน้ำให้ ระหว่างนี้ก็...” ดวงตาคมกริบสีเขียวเข้มเหลือบมองคุโรโกะอีกครั้งด้วยสายตาเป็นกังวล “อดทนรอสักพักล่ะกัน”
เมื่อพูดจบมิโดริมะก็เดินหายหายไปในห้องอาบน้ำที่อยู่อีกด้านของห้องสมุด  คนตัวเล็กมองตามแผ่นหลังแกร่งไปจนกระทั่งลับสายตา ครั้นเหลียวมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนี้ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย 
คนตัวเล็กนั่งชันเข่าขึ้นอย่างเหงาๆ พลางเอนกายพิงโซฟาอย่างเหนื่อยล้า  เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลงทำให้แสงสว่างถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด  ขอแค่เวลานี้เท่านั้นที่คุโรโกะต้องการเวลาอยู่กับตัวเอง...สัมผัสอันเจ็บปวดทรมานของชายคนนั้นตีตราอยู่บนร่างกายเขาราวกับเหล็กไฟร้อนที่แผดเผาเนื้อสด  เขารู้ดีว่าความเจ็บปวดอาจใช้เวลานานกว่ามันจะหายไปชั่วนิรันดร์ แต่ทว่ามันกลับไม่ง่ายเลยในการที่จะลบล้างมันออกไปจากความทรงจำ สิ่งที่ยังคงจดจำความทรมานนั้นไว้คือสิ่งที่เต้นตุบๆอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายของเขา  ตราบใดที่มันยังมีชีวิตอยู่ความเจ็บปวดนี้ก็ไม่มีทางถูกลบเลือนออกไปจนหมดสิ้น
 คนตัวเล็กคิดทบทวนกับตัวเองด้วยความเจ็บปวดหัวใจ เซ็กส์ช่างเป็นเรื่องเจ็บปวด  มันไม่ได้แสนสุขหอมหวานอย่างที่เคยคิด แม้ไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์นั้นแต่เขาจำเป็นต้องคิด...เพื่อตัวเขาเองในอนาคตข้างหน้า  ภาพเหตุการณ์นั้นจะเป็นบทเรียนให้เขาได้หรือเปล่านะ ต่อจากนี้ไปเขาควรจะทำอะไรต่อ  ควรจะเชื่อใจแวมไพร์ต่อไปไหม... 
ด้วยเหตุผลบางอย่าง...เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว  จะไม่เชื่อใจใครหน้าไหนที่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว...
แรกเริ่มเดิมทีข้อตกลงที่อาคาชิพาเขามาและเขาตกลงมาด้วย...มันก็แฝงการบังคับและไม่ยุติธรรมมาตั้งแต่แรกแล้ว อาคาชิบอกว่าจะคอยจับตาดูคุโรโกะและเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อเผ่าพันธุ์ โดยจะตามหาพี่ชายที่หายไปของคุโรโกะให้ด้วย  แต่ว่า...คนตัวเล็กรู้ซึ้งดีแก่ใจแล้วว่าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหก
อาคาชิไม่ได้ทำตามอย่างที่พูดไว้เลย ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องโกหกเหลวไหลสิ้นดี ไม่รู้ว่าแวมไพร์หนุ่มมีเป้าหมายอะไรที่พาเขามาแต่คุโรโกะเชื่อมั่นว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องดี  แล้วใครสนกันล่ะ!  
เขาแค่ต้องการพี่ชาย...พี่ชายของเขาคนเดียวเท่านั้น!  แม้ตอนนี้จะจำหน้าตาไม่ได้แต่เขาเชื่อว่าสักวันสายสัมพันธุ์ระหว่างเขากับพี่จะค่อยๆ ดึงดูดให้เรามาเจอกันในท้ายที่สุด  ไม่มีใครช่วยเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว...ถ้าไม่มีใครช่วย  คุโรโกะก็จะตามหาพี่ชายด้วยตัวเอง  มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น  เขาเหลือตัวคนเดียว...
ถ้าเขาไม่ช่วยเหลือตัวเอง...ก็คงไม่มีทางอื่นแล้ว 
ก็อก ก็อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของคนตัวเล็กให้หลุดออกมาจากภวังค์ความคิด ร่างบางค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้าโดยไม่ค่อยมีท่าทีตกใจนัก ครั้นไล่สายตามองตามที่มาของเสียงไป เขาก็เห็นใครบางคนยืนเก็กท่าอยู่ตรงประตู...
อาคาชิยืนกอดอกพิงประตูด้วยท่าทางสุขุม เขาใช้หลังมือเคาะประตูเพื่อเรียกให้คนตัวเล็กหันมาให้ความสนใจเขาเท่านั้น ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มน้อยๆ บนมุมปากครั้นคนตัวเล็กให้ความสนใจ ก่อนที่เขาจะเดินตรงเข้ามาหา
“โดนมาหนักใช่ย่อยนะ ไปโดนอะไรมาล่ะ”
“...”
คุโรโกะทำเป็นไม่ได้ยิน ร่างบางเสมองทางอื่นไปเรื่อยโดยไม่มีอาคาชิอยู่ในสายตา  แวมไพร์หนุ่มยกยิ้มบนมุมปากอย่างระเหี่ยใจ ก่อนจะถือวิสาสะหย่อนกายนั่งข้างคุโรโกะ ส่งผลให้คนตัวเล็กต้องขยับหนีโดยอัตโนมัติ
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันมาดีไม่ได้มาร้าย เลิกระแวงกันสักทีน่า”
“มีเป้าหมายอะไรครับ”
“หืม...”
คุโรโกะจ้องอาคาชิเขม็งด้วยแววตาไม่ไว้ใจ “ที่คุณเข้ามาหาผมนี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่ คงไม่ได้เข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงอย่างเดียวใช่ไหม...”
ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย “ฉลาดขึ้นนี่  บางทีมนุษย์ก็ไม่ได้โง่ไปตลอดซะทีเดียว”
ทันใดนั้นร่างแกร่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้คนตัวเล็กอย่างแนบชิด ฝ่ามือแข็งแรงสัมผัสข้อมือบอบบางทั้งสองข้างอย่างบังคับ  คุโรโกะสะดุ้งเฮือกใหญ่ด้วยความกลัว ครั้นจะขยับตัวก็ไม่ทันการเสียแล้ว  แวมไพร์หนุ่มพันธนาการร่างกายเขาไว้ด้วยพละกำลัง ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดลงมาบนใบหน้า  คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความรู้สึกกระอั่กกระอ่วนใจก่อนจะเบือนหน้าหนี  อาคาชิคลี่ยิ้มมีเลศนัยครั้นดวงตาคมไล่สายตามองร่างบอบบางอันเต็มไปด้วยรอยถูกย่ำยี
ริมฝีปากหยักสีสดเคลื่อนเข้าไปใกล้ใบหู และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้คุโรโกะดวงตาเบิกโพรง “เสียดายจริงๆที่นายไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว  ถ้าให้เดา...ไดกิเป็นคนทำใช่ไหมล่ะ”
“!”
คุโรโกะผวาเฮือกครั้นได้ยินเช่นนั้น ดวงหน้าหวานจ้องมองแวมไพร์หนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาชิงชัง ร่างทั้งร่างสั่นไหวด้วยความโกรธเคือง อาคาชิได้เห็นดังนั้นกลับยิ่งยกยิ้มด้วยความสนุก เขาไล้ฝ่ามือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าหวานอย่างอ่อนโยน ก่อนจะออกแรงจับปลายคางมนให้จ้องมองมาที่เขาอย่างบังคับ
“ไม่ได้จะมาแก้ตัวแทนหรอกนะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่นายจำเป็นต้องรู้”
“...”
“พวกเราไม่เคยได้รับความรัก เราไม่รู้ว่าการจะทะนุถนอมใครสักคนมันต้องทำยังไง เราไม่เคยรู้เพราะเราไม่เคยมี”
“...”
“ฉันไม่ได้อยากจะให้นายยกโทษให้ไดกิ แต่ฉันอยากให้นายเข้าใจถึงธรรมชาติของแวมไพร์อย่างพวกเรา”
“...”
“พวกเราแสดงความรักออกมาผ่านทางความรุนแรง”
“...”
“มีแค่เรื่องนั้นเท่านั้นที่ฉันอยากให้นายรู้...บางครั้งอาจเผลอรุนแรงไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราต้องการให้มันเป็นแบบนั้น”
คุโรโกะเค้นหัวเราะในลำคออย่างสมเพช ดวงตากลมโตจ้องมองอาคาชิด้วยแววตาไร้ความรู้สึก “ถ้าคิดจะมาแก้ตัวแทนเขาก็หุบปากไปเถอะครับ”
“...”
“ผมไม่ต้องการความเห็นอกเห็นใจอะไรทั้งนั้น พวกคุณทุกคนมันก็เลวไม่ต่างกันหรอก” ตอนแรกตั้งใจว่าจะเถียงสู้กลับไปอย่างเข้มแข็ง แต่ไปๆมาๆน้ำตามันกลับไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“...” อาคาชิมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบงัน ในขณะที่คุโรโกะสะอื้นไห้อย่างเงียบๆกับตัวเอง
“ถ้าอาโอมิเนะคุงไม่ได้เป็นคนเริ่ม ใครสักคนก็ต้องเป็นคนเริ่มอยู่ดี...” 
“...”
“ไม่มีใครห่วงผมจริงหรอกครับ คุณเองก็เหมือนกัน...ยังไงเสียอาคาชิคุงก็ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ถ้าคุณเป็นเขาคุณก็คงทำกับผมไม่ต่างจากสัตว์หรอก”
“...”
“คุณมันใจร้ายที่สุด คุณมาทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นกับคุณ แต่คุณแทบไม่เคยเป็นห่วงผมเลยสักครั้ง...”
“...”
“แค่ชื่อผม คุณยังไม่เคยเรียกเลย...” ร่างบางจ้องดวงตาคมสีแดงทับทิมด้วยความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูออกมา “แล้วยังจะให้ผมหวังอะไรจากคุณอีกครับ...”
“...”
อาคาชิจ้องมองคุโรโกะอย่างเงียบงัน  อารมณ์ของคนตัวเล็กตอนนี้อยู่ในสภาวะไม่คงที่ ไม่ว่าใครจะมาดีมาร้ายร่างบางก็ไม่คิดจะไว้ใจ  ยิ่งได้ฟังในสิ่งที่อาคาชิพูดเขาก็ยิ่งยอมรับไม่ได้  น้ำตาหยดแล้วหยดแล้วไหลผ่านใบหน้าหวานอย่างเชื่องช้าด้วยร่างกายอันสั่นเทา ดวงตาคมสีแดงฉานไล่สายตามองทั่วทั้งใบหน้าของคุโรโกะ ความรู้สึกบางอย่างเริ่มทำให้หัวใจอันด้านชาเต้นตึกตักขึ้นมาด้วยความรู้สึกหวั่นไหว ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย...
ทำไมยิ่งคุโรโกะร้องไห้...เขาก็ยิ่งรู้สึกอยากกอดปลอบ ทั้งที่ความจริงมันควรจะเป็นความรู้สึกตรงกันข้ามสิ 
เพราะอะไรกัน... 
การกระทำมักเคลื่อนไหวไปตามหัวใจโดยที่เราไม่รู้ตัว ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆเคลื่อนเข้าไปใกล้ใบหน้าหวานอย่างเชื่องช้า  ก่อนที่ริมฝีปากหยักสีสดจะประทับลงไปบนริมฝีปากบางอย่างอ่อนโยนจนตัวอาคาชิเองยังแปลกใจ คุโรโกะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือบางทั้งสองข้างพยายามดันแผงอกแกร่งออก ทว่าไม่ว่าจะทุบตีมากเท่าไรร่างอันแข็งแกร่งก็ไม่สะทกสะท้าน  อาคาชิรุกล้ำเข้ามาด้วยความปรารถนามากมายที่เอ่อล้นในใจ ร่างของชายหนุ่มบดเบียดเข้ามาใกล้จนร่างบางไม่สามารถขัดขืนได้
“อึก...อื้อ...”
เขาละริมฝีปากออกมา ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วเบา “นายจะคิดยังไงฉันไม่รู้ แต่เรื่องที่ฉันเป็นห่วงนายมันคือเรื่องจริง...เท็ตสึยะ”
“เอ๊ะ...”
...เป็นครั้งแรกที่อาคาชิเรียกชื่อของเขา...
“การพานายมามันอาจเป็นความคิดที่ผิดมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ เพราะตั้งแต่นายมาแผนของฉันมันก็ผิดไปหมด นายทำอะไรกับฉันกัน...”  
“...”
ดวงตาของเขาสั่นไหว ดวงตาที่จ้องมองมานั้นช่างเป็นแววตาที่เจ็บปวดระคนไม่เข้าใจตัวเอง “หัวใจของฉันมันผิดปกติไปตั้งแต่ได้มาเจอนาย  นายทำอะไรกับฉันกันแน่...”
วงแขนแข็งแกร่งโอบกอดคนตัวเล็กเข้าประชิดตัว โดยที่แขนอีกข้างคอยสัมผัสท้ายทองของคุโรโกะให้รับสัมผัสจากเขา ริมฝีปากหยักสีสดบดจูบริมฝีปากบางจิ้มลิ้มอย่างโหยหา  เรียวลิ้นชื้นเกี่ยวตวัดลิ้นเล็กอย่างแนบแน่นไม่ยอมปล่อย คุโรโกะที่แต่เดิมก็อ่อนแรงอยู่แล้วไม่สามารถขัดขืนได้ดั่งใจคิด ยิ่งร่างผอมบางขยับด้วยท่าทีต่อต้านอาคาชิก็ยิ่งบดเคล้าริมฝีปากเล็กมาเข้าไปอีก
“อื้อ..อื้ม...”
ท้ายทอยเล็กถูกจับประคองขึ้นเพื่อให้ใบหน้าหวานรับกับริมฝีปากร้อนที่บุกรุกเข้ามา  แวมไพร์หนุ่มละริมฝีปากออกมาชั่วครู่เพื่อให้คุโรโกะพักหายใจ น้ำลายยาวใสเชื่อมติดกันไม่ขาดราวกับตัวดึงดูดให้อาคาชิค่อยๆ ก้มหน้าลงไปดูดดื่มที่ริมฝีปากจิ้มลิ้มอันหอมหวานอีกครั้ง  คนตัวเล็กครางเสียงอื้ออึงในลำคอด้วยใบหน้าสีชมพูระเรื่อ ลมหายใจอุ่นร้อนจากความรู้สึกพลุ่งพล่านในอกรินรดบนใบหน้าซึ่งกันและกัน  เด็กน้อยแทบทรุดครั้นโดนแวมไพร์หนุ่มสูบแรงไปหมดประหนึ่งว่านี่คือจูบพรากวิญญาณ  อาคาชิยิ้มในใจก่อนจะค่อยๆ ผละออกมา
ใบหน้าหวานหอบเหนื่อยด้วยใบหน้าแสนเย้ายวนครั้นถูกพรากอากาศหายใจไป แก้มสีซีดที่บัดนี้ขึ้นสีชมพูระเรื่อช่างน่ารักน่าชัง  ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูนุ่มนิ่มประหนึ่งลูกเชอร์รี่ อาคาชิมองภาพเบื้องหน้าด้วยความปรารถนาก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นขวดยาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ  รอยยิ้มสนุกผุดขึ้นบนมุมปาก ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมา ดวงตาคมมีเสน่ห์ไล่สายตาอ่านฉลากบนขวดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ต้องทายาไม่ใช่หรอ มา...เดี๋ยวฉันช่วย” 
“มะ..ไม่เอา! หยุดนะครับ!”
คุโรโกะดวงตาเบิกโพรงเมื่ออยู่ๆ ฝ่ามือหยาบกร้านเริ่มแยกเรียวขาของเขาอ้าออกกว้าง ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจัดด้วยความอับอายครั้นถูกเห็นส่วนน่าอายที่ไม่อยากให้ใครเห็นมากที่สุด  คนตัวเล็กรีบดันอีกฝ่ายออกอย่างขัดขืน ทว่าด้วยช่องทางที่ฉีกขาดและเจ็บระบม ทำให้เด็กน้อยไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะปฏิเสธ 
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะประทับจุมพิตลงบนต้นขาขาวเนียนอย่างแผ่วเบา คุโรโกะสะดุ้งเฮือกทันทีครั้นถูกริมฝีปากร้อนสัมผัส  เขาตัวสั่นระริกด้วยความกลัว จากเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นมันทำให้เขารู้สึกกลัวที่จะถูกคนอื่นแตะต้องร่างกาย 
“ไม่เอา...ฮึก...อย่ามาแตะต้องตัวผม...”
อาคาชยิ้มสงบ  ปลายนิ้วงดงามแตะลงบนผิวนวลอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นสิ่งของล้ำค่า “ไม่เป็นไร ฉันไม่รุนแรงหรอก...”
“ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่ได้ครับ  อย่ามาแตะตัวผม...” คุโรโกะยกมือขึ้นมาปิดใบหน้า  ดวงเนตรสีแดงทับทิมมองคนร่างเล็กอย่างนิ่งงัน พลางคิดในใจว่าอาโอมิเนะทำอีท่าไหนกัน  คุโรโกะถึงได้เป็นหนักขนาดนี้...
อาคาชิทำเป็นไม่สนใจต่อท่าทางหวาดกลัวของคุโรโกะ  นัยน์ตาคมกริบไล่สายตามองดูช่องทางสีชมพูสวยที่บัดนี้มีรอยฉีกขาดและน้ำขาวขุ่นเอ่อค้างอยู่ข้างใน เขามองสลับระหว่างมันกับขวดยา ถ้าไม่จัดการเอาน้ำสกปรกนั่นออกมาก่อนก็คงจะทายาไม่ได้  แต่หากจะเอาออกก็จำเป็นต้องใช้ห้องน้ำซึ่งตอนนี้มันไม่ว่างและมันค่อนข้างเอาออกยากทีเดียว  ทางเดียวที่เหลืออยู่คือต้องทายาทั้งๆ แบบนี้เท่านั้น 
หวังว่าคุโรโกะจะเข้าใจ...
ปลายนิ้วเรียวงามสอดเข้าไปในกระปุกยา ซึ่งภายในเป็นเนื้อครีมสีขาวอันมีกลิ่นคล้ายคลึงกับสมุนไพรและแอลกฮอล์ มันค่อนข้างเย็นนิดหน่อยสำหรับอาคาชิ   ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างที่ว่างตรึงขาเรียวบางไว้แน่นเพื่อกันอีกฝ่ายขัดขืน   ก่อนจะค่อยๆ ยื่นเรียวนิ้วงามที่ป้ายยาเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ กับช่องทางสีชมพูสวยอย่างเชื่องช้า...
“อ๊ะ!”
ร่างผอมบางกระตุกเกร็งทันทีครั้นสัมผัสอันเย็นเยียบแทรกเข้ามาภายในร่างกาย  เนื้อครีมเย็นที่แตะลงบนช่องทางอุ่นนุ่มภายในสะกดให้เด็กน้อยตัวสั่นระริก  ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มปากแน่นด้วยใบหน้าแดงจัด คนตัวเล็กค่อยๆ ปรือตามองแวมไพร์หนุ่มอย่างยากลำบาก  สัมผัสที่รุกล้ำเข้ามามันทำให้เขารู้สึกอึดอัดและหายใจได้ไม่ทั่วท้อง  อาคาชิได้เห็นเช่นนั้นก็กระตุกยิ้มบนมุมปากแล้วเริ่มขยับเรียวนิ้วเข้าออกอย่างเนิบช้า
“อ๊ะ! หยุดนะ...”
ทันทีที่ปลายนิ้วเรียวงามขยับเข้าสู่ช่องทางด้านหลังเด็กน้อยก็สะดุ้งเฮือก พลางจิกเท้าลงกับโซฟาแน่น  แรงตอดรัดต่อสิ่งแปลกปลอมที่สอดแทรกเข้ามาทำให้แวมไพร์หนุ่มสั่นสะท้าน จากความคิดแค่จะช่วยรักษาพลันมลายหายสิ้น   ไม่รอช้าร่างสูงขยับนิ้วเข้าออกด้วยจังหวะเร็วขึ้น ความอุ่นร้อนภายในตอดรัดนิ้วเขาตุบๆ อย่างเป็นจังหวะ สะกดให้อาคาชิเริ่มถูกอารมณ์บางอย่างควบคุม 
“อ๊ะ...อื้ม...” เสียงหอบใจกระเส่าดังอย่างแผ่วๆครั้นถูกลวนลามโดยที่ตนเองไม่เต็มใจ  ร่างแกร่งเบียดเข้ามาแทบไม่มีช่องว่างระหว่างกัน ยามนิ้วเรียวขยับเข้าออกคนตัวเล็กก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดในช่องท้อง ชายหนุ่มกระแทกกระทั้นเข้ามาด้วยอารมณ์ความใคร่ทำให้คุโรโกะตัวสั่นไหวทุกครั้งที่ถูกสอดแทรกเข้ามา
“พะ...พอแล้วครับ พอ...” ความรวดเร็วของการขยับที่มาพร้อมความรุนแรงทำให้ริมฝีปากบางเอ่ยเว้าวอนด้วยแก้มสีเรื่อ มือบางทั้งสองข้างยึดไหล่แกร่งไว้แน่นแล้วพยายามจะดันออก ทว่าแรงปรารถนาต่อร่างบอบบางทำให้แวมไพร์หนุ่มไม่ยอมถอยออกไป  เรียวนิ้วงามยังคงสอดเข้าออกกับช่องทางรักอันเปรอะเปื้อนน้ำสีขาวขุ่นด้วยจังหวะสม่ำเสมอ และมันยังคงกระทั้นเข้ามาแรงขึ้นเรื่อยๆจนคนตัวเล็กน้ำตาคลอ
“มะ...ไม่เอา ฮึก...หยุดเถอะ  ได้โปรด...”
น้ำตาที่ไหลรินออกมาจากดวงตางดงามสะกดให้ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว  ดวงตาคมสีแดงฉานมองดูหยดน้ำตานั้นด้วยความช็อกก่อนจะเพิ่งมาสำนึกได้ทีหลังว่าทำเกินเหตุ  ขาเรียวบางที่อ้าออกกว้างสั่นระริกด้วยความกลัวราวกับลูกกวางเพิ่งเกิด  ร่างสูงไล่สายตาต่ำลงมายังช่องทางสีสวยอันมีนิ้วของเขาสอดแทรกคาไว้ข้างใน  น้ำสีขาวขุ่นล้นปริ่มออกมาเล็กน้อยจากการกระแทกอย่างรุนแรงเมื่อครู่ 
 ร่างสูงค่อยๆ ถอนนิ้วเรียวออกมาอันมีน้ำสีใสติดออกมาด้วยเล็กน้อย  เขามองดูคุโรโกะด้วยความรู้สึกผิด  ร่างบอบบางสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว เด็กน้อยไม่ยอมสบตาอาคาชิเลยแม้เพียงเสี้ยวเดียว เรื่องแบบนี้อาคาชิคงจะไม่เข้าใจ....แต่สำหรับคุโรโกะแล้ว การกระทำของแวมไพร์หนุ่มเมื่อครู่มันช่างรุนแรงไม่ต่างจากอาโอมิเนะที่กระทำกับเขาเลยแม้แต่น้อย แค่นี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ว่าจะแวมไพร์ตนไหนมันก็ป่าเถื่อนไม่ต่างกัน ทุกคนก็หวังเพียงแค่ร่างกายเขาเท่านั้น ไม่มีใครที่ห่วงเขาจากใจจริงสักคนเดียว...
“เท็ตสึยะ...”
“...”
“ขอโทษนะ  คือฉันทำเกินไป...”
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือบางตบหน้าอาคาชิอย่างแรงเสียจนอีกฝ่ายหน้าหัน แก้มขาวซีดของแวมไพร์หนุ่มพลันเกิดรอยแดงเถือก  ร่างสูงไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวด แต่แววตาแสดงความตกใจแบบปกปิดไม่มิด เขาหันหน้ามามองคุโรโกะอย่างเชื่องช้าด้วยแววตาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเขาถึงโดนตบ  ทว่าในทางกลับกันคนตัวเล็กนั้นตัวสั่นด้วยความโกรธ  สายตาที่มองมานั้นช่างเต็มไปด้วยความรังเกียจราวกับว่าอาคาชิเป็นสิ่งโสโครกที่สุดบนโลกใบนี้ 
“ออกไปให้พ้น!” ร่างบางตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยว “อย่าเข้ามาใกล้ผม!”
“...”
“ไม่ว่าหน้าไหนๆ ก็เหมือนกันหมด  ไม่มีใครเห็นผมเป็นมนุษย์สักคนเดียว! มนุษย์ที่มีความรู้สึก มนุษย์ที่เจ็บและกลัว ไม่ว่าใครก็ไม่เห็นค่าของผมเลย!”  ราวกับเป็นการปลดปล่อยซึ่งอารมณ์เก็บกดทุกอย่างที่เก็บไว้ในใจ ทุกอย่างที่เก็บไว้มานานแสนนานถูกพรั่งพรูออกมา เพียงเพราะแค่ความเชื่อใจถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี 
เชื่อใจใครไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว...
“ไม่ใช่อาหาร...ก็ที่ระบายความใคร่ สำหรับพวกคุณผมก็เป็นได้แค่นั้น...” ริมฝีปากบางสั่นระริก “ผมน่ะ...ผมน่ะ...ไม่ได้ต้องการแบบนี้!  ไม่ได้อยากถูกดูดเลือด!  ไม่ต้องการถูก...ฮึก”
“...”
อาคาชิพูดอะไรไม่ออก  แม้เมื่อก่อนเขาจะเคยใจร้ายกับคุโรโกะนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าครั้งนี้เขากลับไม่กล้าแสดงท่าทางอย่างนั้นออกมา  อาจเป็นเพราะว่าเขาเริ่มมีความรู้สึกพิเศษกับคุโรโกะก็เป็นไปได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นคุโรโกะเป็นแบบนี้มาก่อน...
มนุษย์ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด ยิ่งโดนทำร้ายทารุณบ่อยๆเข้าขีดจำกัดนั้นก็ยิ่งหดสั้น...และตอนนีขีดจำกัดของคุโรโกะมันได้หมดลงแล้ว
“ออกไป! อย่ามาใกล้ผม!! ออกไป!!!”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!”
เสียงอันดังก้องของคุโรโกะเรียกให้มิโดริมะรีบวิ่งออกมาดูด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มทำหน้าตาตื่นเพราะนึกว่ามีคนมาทำร้ายคนตัวเล็กอีก ทว่าครั้นนัยน์ตาคมสังเกตเห็นอาคาชินั่งอยู่ด้วยกัน เขากลับรู้สึกอยากวิ่งกลับเข้าไปที่เดิมเสียมากกว่า มิโดริมะมองดูคนทั้งสองด้วยความลำบากใจ  คนตัวเล็กนั่งตัวสั่นอย่างน่าสงสารพร้อมน้ำตาที่อาบใบหน้า ในขณะที่อาคาชิเบือนสายตาหนีพร้อมแก้มอันขึ้นรอยแดงเถือก ไม่ว่าจะดูอย่างไรบรรยากาศของคนทั้งสองก็ดูไม่ค่อยดีเลยแม้แต่น้อย 
“อะ...เอ่อ ฉันเตรียมน้ำเสร็จแล้วนะคุโรโกะ นายไปอาบเถอะ อดทนแช่สักหนึ่งชั่วโมงแล้วแผลรอยช้ำต่างๆ จะหายไปเอง”  มิโดริมะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
คนตัวเล็กไม่ตอบ เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินผ่านหน้าอาคาชิไปเพื่อมุ่งตรงสู่ห้องอาบน้ำอย่างเร่งรีบ โดยไม่ยอมแลสายตามองแวมไพร์หนุ่มเลยแม้เพียงเสี้ยววินาทีดียว อาคาชิกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บใจ เขาอยากจะรั้งอีกฝ่ายไว้... ทว่าสุดท้ายอาคาชิก็อดทนไม่ยอมทำอะไร จนกระทั่งคุโรโกะเดินลับสายตาไปในที่สุด...
ดวงเนตรสีเขียวมรกตปรายตามองแวมไพร์สหาย ก่อนจะถอนหายใจออกจมูกเฮือกใหญ่ 
“ไปทำอะไรเขาอีกล่ะ?”
...
...
...
นาฬิกาหมุนวันอย่างรวดเร็วพร้อมเวลาที่ล่วงเลย สุดท้ายคุโรโกะก็ต้องหยุดเรียนอีกหนึ่งวันโดยมีคิเสะคอยเฝ้าไข้ไม่ห่างในห้องของคนตัวเล็ก  แวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองได้รายงานมิโดริมะอยู่เป็นระยะว่าแผลต่างๆ ตามร่างกายหายสนิทแล้ว ทว่าความเจ็บระบมตรงช่องทางน่าจะมีอยู่ ทำให้คนตัวเล็กเมื่อยล้าจนนอนหลับเป็นตายไม่ยอมตื่นมาเลยตลอดช่วงเช้า ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับคุโรโกะที่ได้หนีเข้าไปอยู่ในโลกแห่งความฝันยามนิทรา เพราะอย่างน้อยเจ้าตัวก็จะได้พักผ่อนและลืมเรื่องโหดร้ายไปได้ แม้ว่าจะแค่เพียงแค่ชั่วคราวก็ตาม
มิโดริมะจึงอาศัยโอกาสนี้คุยกับอาคาชิกันตามลำพังในห้องสมุดของเขา โดยที่มีเหล่าภูติดอกไม้บินไปมารอบห้องพร้อมเสียงกระพือปีกเล็กๆ ที่ส่องแสงระยิบระยับ 
“ ฉันไม่อยากจะพูดคำนี้หรอกนะ  แต่นายน่ะโง่หรือเปล่า?” ชายหนุ่มเอ่ยหลังจากได้ฟังว่าอาคาชิทำอะไรลงไปกับคุโรโกะ
“...”
ช่วงนี้อาคาชิเริ่มคิดกับตัวเองว่ามิโดริมะชักจะปีกกล้าขาแข็งขึ้นทุกวัน อยู่ด้วยกันมานับศตวรรศหมอนี่ยังไม่เคยเอ่ยปากด่าเขาเลยสักครั้ง แต่ดูตอนนี้สิ...ริมฝีปากชักจะกล้าขึ้นทุกวัน
“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจอยากให้มันเป็นแบบนั้นสักหน่อย อยู่ๆร่างกายมันก็ขยับไปเอง” อาคาชินั่งกอดอกด้วยท่วงท่าขุ่นเคืองใจ ในขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเขียวมรกตกำลังรินกาแฟใส่ถ้วย ใบหน้าหล่อคมคายส่ายหน้าเอือมระอากับคำแก้ตัวเป็นเด็กๆ อันไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกในสิ่งที่ตนทำลงไปเลยแม้แต่น้อย
“แต่ฉันอยากให้นายเข้าใจว่าตอนนี้สภาพจิตใจของคุโรโกะกำลังแย่ นายเล่นไปทำแบบนั้นเขาก็กลัวน่ะสิ ทำอะไรไม่รู้จักคิด”  ปลายนิ้วเรียวดันถ้วยกาแฟไปตรงหน้าอาคาชิ ก่อนที่ตนจะนั่งลงแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบบ้าง “แม้แต่ฉันเขายังไม่ไว้ใจ งั้นก็คงไม่มีใครที่เขาอยากจะไว้ใจอีกแล้ว...”
พอได้ยินแบบนั้นแล้วอาคาชิก็รู้สึกผิดขึ้นมา “ใครจะไปคิดล่ะว่าหมอนั่นจะกลัวขนาดนั้น” รสขมของกาแฟไหลลงสู่คอ ทำให้อารมณ์ของจักรพรรดิหนุ่มสงบขึ้น
“ฉันเข้าใจนะว่านายหวังดีกับเขา แต่พวกเราเองก็ห่างผู้หญิงมานาน อารมณ์ความใคร่มันก็คงจะเก็บกดมานานเช่นกัน ไม่แปลกใจหรอกที่สัญชาตญาณดิบของนายจะแสดงออกมาหลังจากที่นายทำเรื่องแบบนั้นลงไป” มิโดริมะวางถ้วยกาแฟลงบนจานรองแก้วอย่างนิ่มนวล “แต่ฉันว่าสำหรับคุโรโกะ...เขาคงจะไม่เข้าใจหรอก” 
“...” อาคาชิถือถ้วยกาแฟนิ่งค้างในระดับอก สายตาจ้องลึกเข้าไปในน้ำสีน้ำตาลอ่อนอย่างเงียบๆ
“เด็กคนนั้นเจออะไรมาเยอะตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่  ฉันลืมนึกไปได้ยังไงกันว่าร่างเล็กๆแสนอ่อนแอนั่นก็มีวันบุบสลายเหมือนกัน...”
“...”
“เขาดูหวาดกลัวมาก ฉันไม่เคยห็นใครที่แสดงท่าทางหวาดกลัวแบบนั้นมาก่อนเลย”
ดวงตาคมกริบข้างขวาสีแดงเพลิงมองน้ำกาแฟที่สะท้อนใบหน้าของเขาด้วยแววตาครุ่นคิด “นี่ ชินทาโร่...”
“หืม?” ร่างสูงขานรับเสียงต่ำในลำคอ
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น” นัยน์ตาเย็นเยียบมองหน้ามิโดริมะ “ฉันคิดว่าไดกิเป็นคนทำ”
เมื่อได้ยินในสิ่งที่อาคาชิพูด มิโดริมะก็ดวงตาเบิกโพรงด้วยความตกใจ “อะไรนะ อาโอมิเนะน่ะหรอ?!  นายคงไม่คิดว่าหมอนั่นจะ...”
“...”
แวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงไม่ขยายประโยคใจความอะไรไปมากกว่านี้ เขาแค่เพียงหลับตาแล้วพยักหน้าลงอย่างช้าๆ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้มิโดริมะเข้าใจเรื่องทุกอย่างกระจ่างชัด  ชายหนุ่มเอามือตบหน้าผากตัวเองด้วยแววตาตกใจ  ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นความจริง
“ให้ตายสิ...อาโอมิเนะ นี่นายทำบ้าอะไรของนาย...”
อาคาชิปรายตามองมิโดริมะ  ก่อนจะก้มลงมองถ้วยกาแฟในมือของตัวเองด้วยแววตารู้สึกผิด  แม้เขาจะไม่ได้แสดงท่าทางตกใจอะไรออกมามากมาย แต่แท้จริงแล้วเขาเองรู้สึกไม่ต่างจากมิโดริมะ... 
“ชินทาโร่ นายคิดว่าเท็ตสึยะไปโดนอะไรมา?”
“ทำไมอยู่ๆถึงถามขึ้นมาล่ะ ไม่ใช่ว่านายก็รู้อยู่แล้วหรอ?”
“ใช่ ฉันรู้  แต่ว่า...ฉันอยากให้นายทำให้ฉันแน่ใจว่าสิ่งที่คิดเอาไว้เป็นเรื่องจริง...”
ร่างสูงชะงักไปครั้นได้ยินเช่นนั้น ดวงตาคมประกายแสงความลังเล  เขารู้สึกไม่อยากเอ่ยถึงมันรอบสองเพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ลงมือกระทำเรื่องเช่นนั้นกับคุโรโกะ นอกจากว่ามันจะไม่มีหัวจิตหัวใจแล้ว...มันยังไม่มีความเป็นคนเลยด้วยซ้ำ 
...ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าใครทำ...
แต่ว่า...หากอาคาชิรู้ บางทีจักรพรรดิหนุ่มอาจมีหัวใจที่จะนึกห่วงคุโรโกะบ้างแม้แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี เพราะคุโรโกะไร้ซึ่งที่พึ่งพาแล้วจริงๆ
มิโดริมะสูดหายใจเข้าลึก “คุโรโกะถูกข่มขืน...และมันไม่ใช่การขืนใจธรรมดา”
“ยังไง?” คิ้วเรียวโก่งสีแดงขมวดเข้าหากัน
มิโดริมะหรี่สายตาอย่างลำบากใจในการจะเอ่ยปากพูด “นั่นเป็นครั้งแรกของคุโรโกะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายครั้งแรกมันก็เจ็บทั้งนั้น แต่ฝ่ายที่ข่มขืนคุโรโกะไม่ได้เห็นความสำคัญตรงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย”
“แล้วยังไงต่อ?” อาคาชิเร่งเร้า
ร่างสูงถอนหายใจ “เพราะแบบนั้นคุโรโกะก็คงจะมีบาดแผลทางใจไม่น้อยกับครั้งแรกที่เจ้าตัวไม่อยากจดจำ และรอยฟกช้ำตามตัวนั่นมันไม่ธรรมดาเลย มันเหมือนกับว่าถูกบีบถูกซ้อมปานจะฆ่าตายมากกว่า”
“...”
“และที่ฉันบอกว่ามันไม่ใช่การขืนใจธรรมดาน่ะ ก็เพราะว่าหากดูจากช่องทางที่ฉีกขาดแล้ว เหมือนว่ามันจะรับขนาดของคนสองคนเข้าไปในทีเดียว และค่อนข้างนานหลายชั่วโมงด้วย” ดวงตาคมเหลือบตาขึ้นมองอาคาชิที่กำลังทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ “ทีนี้นายเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าบาดแผลของคุโรโกะมันเจ็บปวดขนาดไหน...”
“...”
นัยน์ตาสีแดงทับทิมเย็นเยือกอย่างที่ไม่เคยเป็น ฝ่ามือที่กำลังถือถ้วยกาแฟพลันกำแน่นหลังจากมิโดริมะพูดจบ ถ้วยใบน้อยสั่นตามแรงบีบอันมหาศาลของแวมไพร์ จนกระทั่งท้ายที่สุดมันก็ไม่อาจทนแรงบีบนั้นได้ ถ้วยกาแฟใบเล็กในมือแตกกระจายดังเพล้งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อให้เกิดเศษแก้วร่วงกราวลงสู่พื้นพรมพร้อมกับน้ำที่สาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่ว ร่างสูงนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเย็นชา ความเย็นเยือกแผ่ออกมาปกคลุมโดยรอบจนหนาวจับขั้วหัวใจ ฝ่ามือหนาอันเปรอะเปื้อนน้ำกาแฟยังคงกำมือตัวเองค้างจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อหนัง  ดวงตาสีแดงฉานคุโชนราวกับถ่านไฟด้วยความโกรธของปีศาจร้าย
มิโดริมะต้องรวบรวมความกล้าอยู่สักพักใหญ่ครั้นได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ความสงสัยเข้ามากัดกินสมองพร้อมกับความหวาดหวั่น  เขากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อย “อาคาชิ นี่นาย...กำลังโกรธอยู่หรอ?”
เสียงเรียกของเพื่อนสนิทปลุกให้อาคาชิตื่นออกมาจากภวังค์ความคิด เขามองดูมิโดริมะด้วยสายตาไม่เข้าใจในคำถาม ก่อนจะเลื่อนสายตามองต่ำลงมายังฝ่ามือของตัวเองที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีน้ำตาลอ่อนพร้อมเศษหูแก้วที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่อยากเชื่อว่าเขาที่มักจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมาง่ายๆ จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงแค่เพราะได้ฟังเรื่องคุโรโกะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน นี่เขาเป็นอะไรไป?
“นี่ฉัน...กำลังโกรธอยู่งั้นหรอ?” ริมฝีปากหยักสีสดเอ่ยพึมพำราวกับกำลังพูดกับตัวเอง ก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดมือตัวเองโดยที่ในใจยังคงสับสน
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ เรื่องอาโอมิเนะน่ะ...”
“ฉันจะคุยกับหมอนั่นทีหลัง” อาคาชิเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
มิโดริมะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างหวาดหวั่น “ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันมานาน  อย่าลงไม้ลงมือมากล่ะ”
อาคาชิเงียบไปสักพักใหญ่ ก่อนจะขานตอบในลำคอเสียงเย็น “อืม” 
“....”
ความเกรี้ยวโกรธที่อาคาชิแสดงเมื่อครู่นั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัว  มิโดริมะมองดูปฏิกิริยาของจักรพรรดิหนุ่มอยู่นานเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ เขาจับปลายคางตัวเองอย่างใช้ความคิดในขณะที่ดวงตาคมสีมรกตจ้องมองอาคาชิไม่วางตา...
“อะไร? มองฉันทำไม?” อาคาชิมองอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจ
มิโดริมะครุ่นคิด พลางเหลือบสายตามองแวมไพร์สหายน้อยๆ อย่างสงสัย ก่อนจะรินกาแฟใส่ถ้วยใบใหม่ให้อาคาชิ “ขอถามหน่อยสิ ช่วงนี้นายมีความรู้สึกแปลกๆ กับคุโรโกะบ้างหรือเปล่า?”
“รู้สึกแปลกๆ ยังไง” ร่างสูงเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยสนใจ ก่อนจะรับถ้วยกาแฟจากมิโดริมะขึ้นจิบ
“ก็...” มิโดริมะเว้นประโยคลองเชิง “นายเคยรู้สึกโกรธคุโรโกะ เคยจูบเขาหรือว่าเคยลงมือทำร้ายเขาใช่ไหม ทุกอย่างที่นายทำมันต้องมีเหตุผลเสมอ”
“เหตุผลหรอ?”
“เอาเป็นว่าช่วยพูดให้ฟังหน่อยว่าตอนนั้นนายรู้สึกยังไงถึงทำแบบนั้น”
คนร่างสูงโปร่งถอนหายใจออกจมูกพรืดใหญ่ นัยน์ตาสีแดงโลหิตหรี่ตาต่ำไม่พอใจ  นึกหงุดหงิดมิโดริมะในใจว่าทำไมถึงได้ต้องมาถามคำถามอะไรไร้สาระตอนนี้  แต่ไม่ตอบก็ไม่ได้...เพราะลึกๆในใจเขาก็อยากรู้ความรู้สึกตัวเองเหมือนกัน
“ในตอนแรกฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก  และฉันตั้งใจไว้แน่วแน่ว่าจะไม่หลงใหลเท็ตสึยะอย่างเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะ...” อาคาชิชะงัก
“เพราะ?” มิโดริมะทวนคำเมื่ออาคาชิพูดไม่จบ ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะค่อยพูดต่อ
“เพราะเขาหน้าตาเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเกลียด...”
“ผู้หญิงหรอ? ใครน่ะ?”
“ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องรู้”
“...”
“ตอนที่เท็ตสึยะโดนเซอร์เบอรัสจู่โจมในป่า ลางสังหรณ์ของฉันบอกว่าไดกิน่าจะเล่นอะไรพิเรนท์อีกแน่ ฉันจึงสั่งให้เขาเข้าไปตาม พอทั้งสองคนกลับมาก็  ไม่รู้สิ...ฉันรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่เห็นสองคนนั่นสนิทกัน”
“ก็เลยทำร้ายคุโรโกะว่างั้น?”
“ประมาณนั้น...”
“แล้วไงอีก”
“ตอนที่นายบอกให้เขาไปหาพวกเงือกแล้วฉันแอบตามไปน่ะ ตอนแรกฉันกะว่าจะตามไปทำอะไรนิดหน่อยแต่ว่ามันดันเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา ฉันจึงจำเป็นต้องเข้าไปช่วย”
“...”
“ตอนนั้นเท็ตสึยะกลัวจนร้องไห้ออกมา ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันเป็นอะไรแต่ว่าร่างกายมันขยับเข้าไปกอดปลอบเองโดยที่ตัวฉันไม่รู้ตัว  ไม่รู้สิ...พอเห็นแบบนั้นแล้วฉันก็เริ่มคิดว่าปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ แม้ว่าหลังจากนั้นฉันกับเขาจะกลับมากัดกันเหมือนเดิมก็ตาม” อาคาชิหัวเราะในลำคอ
“...”
“ตอนแรกฉันคิดเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรเรื่องจะทำให้เท็ตสึยะมาหลงรักฉัน เพราะฉันเกลียดท่าทางอวดดีของเขาที่พูดว่าไม่มีทางรักฉันแน่นอน  ฉันก็เลยอยากทำให้เขาหันมามองฉันเพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง มันก็เท่ากับว่าฉันสามารถเอาชนะเด็กปากดีนั่นได้”
“...”
“ฉันชอบที่จะทำร้ายร่างกายเขา ชอบที่จะทำให้เขาร้องไห้ ชอบที่จะทำให้เขากลัว เพราะฉันอยากจะเป็นเพียงคนเดียวที่จะช่วยเช็ดน้ำตาให้เท็ตสึยะ  อยากจะเป็นคนเดียวที่จะปกป้องเขา  เท็ตสึยะจะได้หวาดกลัวฉันและไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย...แต่ว่ามันก็เป็นความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นมาเพียงชั่ววูบเท่านั้นแหละ”
“...” พอถึงประโยคนี้มิโดริมะก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เจ้าตัวยกยิ้มนิดๆ บนมุมปาก...
“ก็...” อาคาชิยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “ฉันเริ่มคิดว่าบางทีเหตุการณ์แบบนั้นอาจจะเกิดขึ้นอีกบ่อยๆ ก็เลยห้ามไม่ให้เขากลับดึก ก็เลยฝากเรื่องนี้ให้เรียวตะช่วยจัดการ”
“อืม” มิโดริมะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจถ่องแท้ถึงความรู้สึกของแวมไพร์หนุ่มตนนี้ “แบบนี้นี่เอง...”
มิโดริมะเริ่มคลี่รอยยิ้มแปลกๆ ออกมา ทำเอาจักรพรรดิหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่ค่อยพอใจ “ยิ้มอะไรของนาย?”
“เปล่า เพียงแค่...” สายตาสีมรกตมองอาคาชิอย่างมีเลศนัย
“แค่อะไร?” อาคาชิเร่งเร้าอย่างร้อนรน ยิ่งอีกฝ่ายทำท่าทางลีลาเขาก็ยิ่งไม่ค่อยชอบใจ 
ร่างสูงยิ้มก่อนจะหยิบช้อนตักก้อนน้ำตาลขึ้นมาชี้หน้าอาคาชิอย่างรวดเร็ว ทำเอาศีรษะเจ้าของเรือนผมสีแดงผงะไปด้านหลังทันทีดวยความตกใจ อาคาชิหรี่สายามองมิโดริมะอย่างมีคำถามว่า ‘ทำบ้าอะไรของนาย?!’  แต่ทว่ามิโดริมะไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย  ในทางกลับกัน...ริมฝีปากหยักสีสดของแวมไพร์หนุ่มกลับคลี่ยิ้มอย่างที่อาคาชิไม่เคยเห็นมาก่อน
“อาคาชิ ทั้งเรื่องที่นายเล่าไอ้สิ่งที่นายแสดงออกมาน่ะ ฉันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว”
“เข้าใจ? เข้าใจอะไร?!”
มิโดริมะยกยิ้มบนมุมปาก “ก็นายน่ะกำลังมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างกับคุโรโกะยังไงล่ะ”
“เอ๊ะ? ดะ...เดี๋ยวนะ” อาคาชิเริ่มมีสีหน้าที่มึนงง “อย่าบอกนะว่า...”
“ใช่” 
มิโดริมะยิ้มกว้าง  และประโยคต่อมาของอีกฝ่ายก็ทำให้อาคาชิดวงตาเบิกโพรง
“นายน่ะกำลังตกหลุมรักคุโรโกะยังไงล่ะ”
30%
“ตกหลุมรัก...?” ร่างสูงเอ่ยทวนคำด้วยแววตาฉงน ก่อนที่ใบหน้าน่ารักของคนร่างบางจะแวบเข้ามาในหัว
นี่เรากำลังตกหลุมรักคุโรโกะงั้นหรอ?
เรื่องแบบนั้นมัน...
“หึ” ทันใดนั้นอาคาชิก็หัวเราะเสียงทุ้มต่ำในลำคอ ราวกับคำพูดของมิโดริมะเป็นมุกตลกฝืด “ฉันเนี้ยนะตกหลุมรักคุโรโกะ ไม่มีวันซะล่ะ”
อาคาชิแบมือทำท่ายักไหล่อย่างไม่แยแส ก่อนจะปัดช้อนชาที่ชี้หน้าตัวเองอย่างไร้มารยาทออกไปเสีย
มิโดริมะเอนหลังพิงเก้าอี้นวมด้วยใบหน้าสงสัย ดวงตาคมหรี่ลง แววตาสีเขียวเข้มส่อประกายว่าคำพูดของอีกฝ่ายไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือ
“อย่ามาแกล้งไขสือ มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่ดูไม่ออก นายน่ะกำลังตกหลุมรักคุโรโกะ ฉันมั่นใจ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มที่ ซึ่งมีไม่บ่อยนักหรอกที่ผู้ชายคนนี้จะกล้าฟันธงอะไรสักอย่าง
เมื่อได้ยินดังนั้นอาคาชิก็ยิ้มเหยียดบนมุมปาก แม้นัยน์ตาจะเหลือเพียงแค่หนึ่ง แต่แรงกดดันอันมหาศาลจากดวงตาสีทับทิมแสนงดงามกลับแผ่ออร่าอันน่าหวั่นเกรงออกมาอย่างเด่นชัด
“ไม่ว่านายจะพูดอะไร ฉันก็จะขอยืนยันคำเดิม ชินทาโร่...” เขาจ้องมองมิโดริมะด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยซื่อตรงต่อความรู้สึกอันด้านชาของตัวเอง “ฉันไม่มีทางตกหลุมรักคุโรโกะอย่างเด็ดขาด และจะไม่มีวันนั้น จนกว่า...”
ทันใดนั้นแวมไพร์หนุ่มชะงักริมฝีปากของตัวเอง เขายกมือขึ้นมาปิดปากด้วยท่าทางร้อนรนเมื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองกำลังจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แตท่าทางอันน่าสงสัยเมื่อครู่นั้นไม่อาจรอดสายตามิโดริมะไปได้ ร่างสูงหรี่สายตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างจับผิด ก่อนจะเอ่ยถามต้อนให้จนมุม
“จนกว่าอะไร?”
“ไม่มีอะไร” อาคาชิเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางอันไม่สมกับเป็นตัวเองช่วยทวีความน่าสงสัยให้เพิ่มพูนมากขึ้น มิโดริมะลูบคางอย่างใช้ความคิด และเขาไม่คิดจะปล่อยให้เหตุการณ์ที่ฟ้าประทานให้ในตอนนี้ต้องหลุดมือ
“ไหนๆ ก็ไหนๆแล้วเรามาคุยเรื่องที่เราพูดค้างกันต่อดีกว่า”
ดวงตาคมสีเขียวเข้มจ้องมองแวมไพร์หนุ่มอย่างไม่วางตา สีหน้าของอาคาชิยังคงสงบนิ่งเหมือนดั่งเดิม แต่ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไปเองหรืออย่างไร เมื่อครู่เขาถึงได้รู้สึกว่าเหมือนเห็นความร้อนรนปรากฏอยู่ในแก้วตาสีแดงสวยดวงนั้น ราวกับว่าเจ้าตัวไม่อยากพูดคุยเรื่องที่ค้างคาต่อ
“คุยอะไรตอนนี้ มันใช่เวลาไหม?”
แล้วก็เป็นอย่างที่มิโดริมะคิดจริงๆ อาคาชิกำลังพยายามจะหลบหนีออกไปจากบทสนทนาชวนอึดอัดนี้ให้ได้ แน่นอนว่าร่างสูงค่อนข้างทำได้ดีทีเดียว แม้ความหมายของคำพูดอาจดูเหมือนร้อนรน แต่นอกเหนือจากนั้นคงคงสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทางผิดปกติอะไร ทั้งสีหน้า ท่าทาง ยังคงสมเป็นจักรพรรดิแสนสุขุมเยือกเย็นดั่งเดิม
“นี่แหละคือเวลาที่เราจะคุยกัน” มิโดริมะเน้นย้ำ “เพราะฉันเชื่อว่าหลังจากที่นายก้าวเท้าผ่านประตูออกจากห้องนี้ไป นายจะต้องพยายามหลบหน้าฉันอีกหลายอาทิตย์ต่อจากนี้แน่
“และฉัน” เขาตวัดสายตาอันคมกริบใต้กรอบแว่นขึ้นมองอาคาชิอย่างเคร่งขรึม “จะไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือเด็ดขาด”
ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งราวกับกำลังมองทะลุเข้ามาในความคิดของอาคาชิ  คนร่างสูงไม่หลบสายตา แต่กลับจ้องตอบอย่างไม่ยอมแพ้ นัยน์เนตรอันมีข้างเดียวยังคงสงบนิ่งและด้านชาไร้พิรุธใดๆ  ริมฝีปากหยักสีสดกระตุกยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างท้าทาย
“แต่นายไม่มีทางรู้หรอกว่าฉันคิดจะทำอะไร  ไม่ว่านายจะถามอะไรก็ตาม ฉันก็จะไม่มีทางบอก”
ความโกรธที่สงบนิ่งในใจพลันลุกโชติช่วงในวินาทีนั้น
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนายเลยชินทาโร่ ทำไมนายจะต้องสอดเข้ามาในเรื่องของฉันด้วย” อาคาชิพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธขอตน แต่ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้มิโดริมะรีบพูดสวนขึ้นมาทันควัน
“ฉันจะไม่สอดเรื่องของนายหรอก ถ้านายไม่พามนุษย์ที่ไม่รู้อิโน่อิเหน่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย!”
คิ้วเรียวสีแดงโก่งเข้าหากัน ทว่าชายหนุ่มรีบเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนที่ตนจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป แล้วปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เข้าที่เข้าทาง
“ฉันคิดว่าฉันพูดเรื่องเด็กคนนั้นไปหลายรอบแล้วนะ นายยังต้องการอะไรอีก...”
มิโดริมะสูดหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
“อาคาชิ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อนฉันก็ไม่เคยเข้าใจนายเลย นายเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ และทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน”
“...”
“พวกเราทุกคนเห็นนายเป็นเพื่อนนะ แต่นายกลับชอบทำตัวเหมือนว่าโลกใบนี้มีแค่นายคนเดียว  อยู่ตัวคนเดียว  ไม่ต้องการพึ่งพาใคร นายเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว  ตั้งแต่ตอนที่แนชช่วยนายออกมา...”
“...”
“ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงทุกวันนี้นายแสดงให้พวกเราเห็นว่านายเหนือกว่า ซึ่งนั่นพวกเราก็ยอมรับ แต่ว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่นายจะยอมรับพวกเราและไว้ใจ”
“...”
“ลึกๆในใจฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนเลวร้าย  แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานายไม่เคยบอกพวกเราว่านายกำลังทำอะไรอยู่ นายไม่เคยบอกเราว่านายกำลังรู้สึกยังไง นายไม่เคยบอกพวกเราแม้แตคนเดียวว่าอดีตของนายเป็นยังไง  นายไม่ยอมบอกเรื่องเกี่ยวกับตัวนายให้ใครได้รับรู้เลย”
“...”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันสงสัยนาย...”
อาคาชิที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ มาสักพักเหลือบตาขึ้นมองคนร่างสูง  คำพูดของอีกฝ่ายเริ่มทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกต้อนให้จนมุม
“สงสัยอะไร”
แล้วทันใดนั้นเสียงของมิโดริมะก็เย็นเยียบ..
“สงสัยว่านายอาจมีแผนการอะไรบางอย่างที่ไม่ได้บอกใครยังไงล่ะ”
ในวินาทีนั้นเอง อยู่ๆ ดวงตาสีแดงเข้มประกายแสงความชั่วร้ายออกมา ก่อนจะหายไปภายในเสี้ยววินาที เหลือทิ้งไว้แต่กลิ่นไอชั่วร้ายต่อสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ในตอนนี้  ดูเหมือนมิโดริมะจะสังเกตเห็น เหงื่อชิ้นผุดขึ้นมาตาบขมับเขานิดหนึ่งด้วยความหวาดหวั่น ก่อนที่เขาจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันก็แค่เดาเท่านั้น ว่านายอาจมีแผนการอะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้เด็กคนนั้น แต่นายยังทำตอนนี้ไม่ได้ นายจึงจำเป็นต้องเอาเขามาอยู่ใกล้ๆตัว ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพี่ชายของเขาหรือว่าเรื่องเผ่าพันธุ์แวมไพร์อะไรนั่นที่นายกรอกหูเขาเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
“นายกำลังรอ...รอวันที่แผนการของนายกำลังจะสัมฤทธิ์ผล และนายจะไม่ยอมให้เขาหลุดมือไป”
“...”
“เหตุผลเดียวที่คุโรโกะมาอยู่ที่นี่เพราะนายสัญญาว่าจะตามหาพี่ชายให้เขา  และถ้าคุโรโกะเจอพี่ชายเมื่อไหร่ ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องรีบหนีไปจากที่นี่ทันที และนายจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ...”
“...”
“แค่นี้ยังไม่เข้าใจหรออาคาชิ? ก็ได้...ฉันจะสรุปแผนการของนายให้”
นัยน์ตาสีมรกตจ้องอาคาชิอย่างไม่วางตา และคำพูดต่อมาของอีกฝ่ายก็ทำให้ดวงตาสีแดงเข้มลุกโชนด้วยไฟสีดำทมิฬในแววตาอย่างเงียบงัน
“นายกำลังวางแผนอะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องมีคุโรโกะ โดยที่นายต้องแข่งกับเวลาว่าระหว่างนายกับแนช  ใครกันคือฝ่ายที่สามารถทำให้คุโรโกะเชื่อใจได้ที่สุด ถ้านายทำให้เขาเชื่อได้นายจะชนะและแผนนายจะสำเร็จ แต่ถ้าแนชทำให้คุโรโกะเชื่อใจเขาได้ นายก็จะแพ้”
ทันใดนั้นเองอาคาชิค่อยๆ ยื่นมือไปด้านหลังโดยที่มิโดริมะไม่ทันสังเกตเห็น  แล้วแอบหยิบบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาอย่างเงียบงัน...
ทางด้านแวมไพร์หนุ่มไม่รู้ตัว เขาจึงพูดต่อไป “...แม้ฉันจะด่วนสรุปไม่ได้ แต่ฉันมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวที่รู้แผนการของนาย  แผนการที่นายทุ่มเททำมาโดยตลอดก็จะพังยับอย่างไม่มีชิ้นดีถ้าแนชเป็นฝ่ายชนะ  ในสถานการณ์แบบนี้ฉันไม่รู้หรอกว่าระหว่างนายกับเขาใครเป็นฝ่ายถูก”
อาคาชิค่อยๆดึงสิ่งของปริศนานั้นขึ้นมาอย่างอ้อยอิง ในขณะที่สายตาเขาจ้องมองสหายด้วยแววตามุ่งร้าย เงาร้ายอันไม่ทราบที่มาค่อยๆ คืบคลานไปยังด้านหลังของมิโดริมะ แล้วทันใดนั้นเอง...
“ช่างมันเถอะ ยังไงฉันก็แค่เดาล่ะนะ”
เงาชั่วร้ายพลันหายไปกับอากาศ คำพูดที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้อาคาชิหยุดชะงัก แวมไพร์หนุ่มแสดงสีหน้าตกใจชั่วครู่ ในขณะที่ในมือยังคงกำของบางอย่างไว้แน่น  เขาหรี่สายตามองมิโดริมะอย่างจับผิดว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งหยอกเล่นหรือพูดจริง
“แค่เดางั้นหรอ....” อาคาชิพูด
“ใช่” อีกฝ่ายหัวเราะ  “แค่เดาเท่านั้น...” 
“...”
อาวุธปริศนาในมือค่อยๆ ถูกคลายออกอย่างเชื่องช้า  ถึงกระนั้นอาคาชิก็ยังคงไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นแค่การเดาสุ่ม แต่เขาจะไม่เสียเวลาให้อีกฝ่ายไล่ต้อนเขาไปมากกว่านี้แล้ว... 
คนร่างสูงไม่อยากจะเล่นสงครามประสาทกับผู้ชายตรงหน้าไปมากกว่านี้ เขาทำเสียงจิ๊ในลำคอเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะยันกายยืนขึ้นแล้วก้าวฉับๆ เดินออกไป  ฝ่ามือหนาจับลูกบิดประตูแน่นก่อนจะจับมันเหวี่ยงประตูเปิด  ทว่าร่างกายกำยำกลับยังคงไม่เดินออกไป
เขาแอบมองมิโดริมะด้วยสายตาเหมือนไม่ไว้ใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีจิตสังหารมุ่งร้ายส่องประกายข้างใน  เขากำมือแน่น เริ่มลังเลในใจว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปแบบนี้เป็นความคิดที่ดีหรือไม่...
“ลืมอะไรหรือเปล่า?” มิโดริมะพูดเมื่อเห็นว่าอาคาชิยังอยู่  บุรุศเจ้าของเรือนผมสีแดงเหลือบตากลับมามองเล็กน้อย  เขาคลายฝ่ามือออก พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเบือนสายตาหนี
“เปล่า ฉันกำลังจะไปแล้ว...”
ปัง!
เมื่อสิ้นเสียงอาคาชิก็มีเสียงเหวี่ยงประตูปิดดังตามหลัง  มิโดริมะนั่งนิ่งแล้วเงี่ยหูฟังว่าอีกฝ่ายเดินไปไกลแค่ไหนแล้ว ครั้นเสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป  หัวใจอันเคยเต้นตึกตักรัวเร็วก็เริ่มกลับมาเต้นในจังหวะสม่ำเสมออีกครั้ง จากใบหน้าที่เคยสงบนิ่งเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าแตกตื่น มิโดริมะหอบหายใจถี่รัวในขณะที่เหงื่อชื้นผุดพรายตามขมับ
ทำไมเมื่อกี้เขาจะไม่รู้ว่าจิตสังหารของอาคาชิมันรุนแรงแค่ไหน...
  ฝ่ามือหนาถูกยกขึ้นมาสัมผัสบนหน้าอกข้างซ้ายด้วยความหวาดหวั่น   สัญชาตญาณอันน้อยนิดในตัวพูดกับตัวเองว่าเมื่อกี้นึกว่าจะต้องถูกฆ่าตายเสียแล้ว เขาค่อยๆ ดันแว่นที่เอียงกระเท่เร่เพราะแรงสั่นให้เข้าที่ แต่มือที่สั่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกลับไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย 
มิโดริมะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้นวม แล้วจ้ำเท้ามุ่งหน้าไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง เขาดึงลิ้นชักอันล่างสุดออกมา ขวดแก้วขนาดเล็กอันสวยงามกลิ้งไปมาบนแผ่นกระดาษที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างใน  ลักษณะขวดแก้วอันถูกหล่อหลอมอย่างประณีตนั้นมีขนาดเล็กพอให้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หยิบขึ้นได้  เขาหยิบมันขึ้นมาส่องกับแสงไฟด้วยความยินดี ของเหลวสีทองอบอุ่นที่บรรจุอยู่ภายในกระเพื่อมเบาๆ อย่างมีชีวิตชีวา  
ในจิตใต้สำนึกไม่มีความเห็นแก่ตัวว่าอยากเก็บของสิ่งนี้ไว้กับตัวเลยแม้แต่น้อย  คนร่างสูงลืมแล้วซึ่งทุกสิ่ง ลืมไปหมดแล้วว่ากว่าตัวเองจะปรุงยานี้ขึ้นมาได้ต้องลำบากเพียงใด และต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้ผลงานอันแสนวิเศษที่ตีค่าไม่ได้แบบนี้มาไว้ในมือ  สิ่งที่เขารู้สึกได้ภายในตอนนี้มีเพียงแค่ความต้องการอยากให้คุโรโกะปลอดภัย
มิโดริมะคลี่ยิ้มเล็กๆ ด้วยความโล่งใจก่อนจะนำมันมาเก็บไว้กับตัว ในหัวเขาพลอยนึกถึงคุโรโกะที่ป่านนี้คงยังนอนหลับไม่ได้สติเป็นแน่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแต่เขาต้องรีบนำของสิ่งนี้ไปให้คุโรโกะให้เร็วที่สุด
ตอนนี้อาคาชิเป็นตัวอันตรายอย่างมาก คุโรโกะไม่ปลอดภัยแน่ถ้าขืนยังอยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้น...
...มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เขาพอจะทำได้...
ในขณะเดียวกัน...
อาคาชิก้าวเท้าเดินไปตามทางเดินอันมีแสงอาทิตย์ประกายสีทองสาดส่องเข้ามา   ความเงียบงันถูกรบกวนด้วยเสียงของร้องเท้าหนังที่กระทบกับพื้นปูกระเบื้องลายหินอ่อน  ร่างสูงหยุดยืนตรงหน้าต่างบานใหญ่ แสงสุริยันที่อาบร่างกายไม่อาจทำให้อันตรายใดๆ ต่อแวมไพร์หนุ่มได้  นัยน์ตาคมสีแดงฉานอันต้องแสงเหม่อมองดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันด้วยแววตาเย็นเยียบ  ฝ่ามือขาวซีดกำหมัดแน่นจนเส้นเส้นเลือดสีแดงที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในเด่นชัดบนผิวเนื้อ  เขากัดฟันแน่นก่อนที่ริมฝีปากหยักสีสดจะกระตุกยิ้มเบาๆ บนมุมปาก
‘ชินทาโร่  ฉันคงจะดูถูกนายมากเกินไปหน่อยสินะ’
เสียงในใจมาพร้อมกับรอยยิ้มเลศนัย  ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้อาคาชิรู้เสมอว่ามิโดริมะเป็นฉลาด แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าปัญญาของอีกฝ่ายจะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก  ทั้งที่ไม่เคยบอกอะไร ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และไม่เคยเหลือหลักฐานให้ตามแกะรอยได้ แต่ยังสามารถคาดเดาได้ตั้งขนาดนี้  เขาคงต้องขอยอมรับในความฉลาดเฉลียวอันน่ารำคาญนั่นจริงๆ
  แล้วคนร่างสูงก็ก้าวเท้าเดินต่อไปพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เจือด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ  ในพื้นที่อันว่างเปล่าเหลือทิ้งไว้แค่ความชั่วร้ายที่ยังคงส่งกลิ่นเด่นชัดไว้เบื้องหลัง และแผนการของเขาก็จะยังคงดำเนินต่อไป 
แผนการที่ไม่มีใครรู้ และไม่ว่าใครก็หยุดมันไม่ได้...
...
...
...
เสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังอย่างสม่ำเสมอทำให้คนร่างสูงโปร่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  คิเสะมองคนตัวเล็กที่นอนหลับใหลไม่ได้สติด้วยแววตาเป็นห่วงระคนกังวลใจ ก่อนจะกระชับผ้าห่มให้ถึงต้นคอคนร่างเล็ก  เรียวนิ้วงามเกลี่ยพวงแก้มขาวซีดอย่างอ่อนโยน ดวงตาคมสีอำพันไล่สายตามองดวงหน้าหวานที่มีแต่ร่องรอยความอิดโรย เปลือกตาบางปิดสนิท ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย  อดไม่ได้ที่ความเป็นห่วงจะบีบรัดหัวใจของแวมไพร์หนุ่มจนปวดแปลบ
แวมไพร์หนุ่มนั่งกอดอก พลางเอนหลังพิงเก้าอี้ในขณะที่สายตายังจ้องมองคนตัวเล็กไม่ขาด ตั้งแต่เขามาเฝ้าไข้ให้คุโรโกะ เวลาก็ผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้ว  คนตัวเล็กหลับสนิทและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาในเร็วๆ นี้   อาจด้วยเพราะความเหนื่อยล้า หรือไม่ก็ความเจ็บปวดที่ยังไม่ทุเลาลง  ถึงกระนั้นบาดแผลต่างๆ ตามร่างกายก็หายสนิทดีไร้ซึ่งร่องรอย แต่ว่าคิเสะไม่แน่ใจนักว่าบาดแผลภายในใจนั้นหายดีเหมือนแผลภายนอกหรือเปล่า
ในตอนแรกที่ได้ยินเรื่องราวเขาเองก็ตกใจ แต่ก็ไม่นึกว่าอาโอมิเนะจะทำขนาดนั้น  เพราะเท่าที่รู้จักกันมา นานๆ ทีผู้ชายคนนั้นก็พาผู้หญิงมานอนด้วยไม่ซ้ำหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ากัดคอดูดเลือดและมีเซ็กส์  บางครั้งก็ฆ่าทิ้งเพื่อนำศพไปซ่อน และทำลายหลักฐาน ซึ่งเรื่องมันก็จบลงแค่นั้นโดยไม่มีปัญหาอะไนตามมา
แต่ว่าในกรณีของคุโรโกะนั้น...คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่คิเสะคิดว่าตัวเองรู้ว่าทำไมอาโอมิเนะถึงทำขนาดนั้น...
...เพราะรักมาก ความหึงหวงก็ยิ่งมีมากตาม...
แม้การกระทำช่างป่าเถื่อนรุนแรง แต่มันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลึกๆ ในใจของอาโอมิเนะนั้นรักคุโรโกะมากแค่ไหน อาโอมิเนะร่าเริงขึ้นมากตั้งแต่เจอคุโรโกะ  ชอบตามแกล้งตามกัดคอราวกับเด็กประถมที่ชอบแกล้งคนที่แอบชอบ  แต่สุดท้ายแล้ว...ความรักที่เอาแต่ได้ฝ่ายเดียวก็เป็นได้แค่การกระทำอันเห็นแก่ตัว  อาจเพราะถูกปฏิเสธรัก หรืออาจเพราะถูกไม่รักตอบ มันถึงทำให้เรื่องราวมันยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม และดูท่าว่าความรักที่รุนแรงอันบิดเบี้ยวนี้ คงจะทำให้คุโรโกะยากที่จะเชื่อใจใครได้เป็นครั้งที่สองอีก...
เด็กน้อยที่น่าสงสาร...
“คิดว่าเตือนไปแล้วนะ ยังไงเด็กก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ”
คิเสะกำลังพูดถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งเตือนคุโรโกะไปเกี่ยวกับเรื่องอาโอมิเนะ ว่าอีกฝ่ายนั้นอันตรายเกินไป ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่ควรไปเข้าใกล้ดีกว่า แต่หากดูจากสถานการณ์แล้ว จะให้เขาเอาแต่โทษคุโรโกะฝ่ายเดียวคงไม่ได้  ยังไงเสียสำหรับเขาแล้วคุโรโกะก็เหมือนกับเด็กน้อยที่ไม่รู้จักความน่ากลัวของโลกภายนอก 
ในใจของคนตัวเล็กเองก็คงไม่คาดคิดหรอกว่าคนที่เคยแสนดีในวันนั้นจะกลายมาเป็นปีศาจในวันนี้...
“หวังว่าจะหายเร็วๆนะ”
น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนดังออกมาจากริมฝีปากพร้อมกับที่ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้ใบหน้าหวานยามนิทราอย่างเชื่องช้า  กลีบปากสีสดบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผากกลมมนด้วยสัมผัสแผ่วเบา ทว่ากลับช่างแสนอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความห่วงใย
คิเสะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร  ตั้งแต่ได้เจอคุโรโกะก็เริ่มรู้สึกว่าหัวใจตัวเองมันผิดปกติ ยอมรับว่าตอนแรกเขาก็เหมือนกับคนอื่นที่นี่นั่นแหละ ไม่ได้ชอบหรือคลั่งไคล้คุโรโกะมากเป็นพิเศษ เพียงแค่แกล้งอีกฝ่ายเล่นแก้เบื่อไปวันๆเท่านั้น  ทว่าครั้นได้เห็นใบหน้าหวานที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน  ความใสซื่อบริสุทธิ์จากหัวใจ  และได้เห็นนิสัยมองโลกในแง่ดีของเจ้าตัวแล้ว มันกลับทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานนับพันปี  มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่คิเสะไม่อาจด่วนสรุปได้ว่ามันคือความรัก แต่มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่เรียกว่าชอบมากกว่าล่ะมั้ง...
แค่ชอบ...ใครก็มีความชอบกันได้  และลึกๆ ในใจเองคิเสะก็รู้ว่าคุโรโกะไม่ได้ชอบเขาหรอก  เอาเถอะ...ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“คิเสะจิน~ ขอเข้าไปนะ”
เสียงยานคางเหมือนเด็กอันเป็นเอกลักษณ์ของบุคคลหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง คิเสะเหลียวหน้ากลับไปมองเล็กน้อย โดยที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนเปิดประตูเข้ามา เขาพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงอนุญาต ก่อนจะหันหน้ากลับมาให้ความสนใจคนตัวเล็กต่อ
มุราซากิบาระก้าวเท้าเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าง่วงงุนเหมือนกับทุกที โดยที่ในมือถือถ้วยข้าวต้มร้อนๆ อันส่งกลิ่นหอมออกมา ซึ่งเป็นคำขอของมิโดรมะว่าให้ช่วยทำอะไรก็ได้ให้คุโรโกะกินสักหน่อยหลังจากที่เจ้าตัวฟื้น
คนตัวสูงใหญ่วางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะค่อยหย่อนกายนั่งลงข้างคิเสะ
“คุโรจินยังไม่ตื่นหรอ?”
คิเสะยักไหล่ “ก็อย่างที่เห็น”
“อาราร่า~”
เสียงน่ารักอันไม่สมกับตัวมาพร้อมกับปลายนิ้วเรียวที่จิ้มแก้มคุโรโกะจึ๋งๆ มุราซากิบาระเอียงคอสงสัยว่าทำไมคุโรโกะยังไม่ตื่น ในขณะที่ยังคงจิ้มแก้มคนตัวเล็กเหมือนกับจิ้มซาลาเปา
“ทำแบบนั้นไปเขาก็ไม่ตื่นหรอกน่า” คิเสะคลี่ยิ้มบางๆ  “แล้วก็ให้เขานอนนานๆเถอะ มันอาจจะดีกับตัวเขามากกว่า”
มุราซากิบาระปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย ดวงตาคมสีม่วงอันเหม่อลอยมองดูคนตัวเล็กอย่างนิ่งงัน อีกใจก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่นิดหน่อย...
“เป็นอะไรไปมุราซาคิจจิ?” คิเสะถาม
อีกฝ่ายกระพริบตาปริบๆ “นี่ คิเสะจิน  ทำไมมนุษย์ถึงอ่อนแอกันจังล่ะ?”
“อ่า...” คนร่างสูงยิ้มเจื่อน “ก็ไม่รู้สินะ”
“คิเสะจินชอบเด็กคนนี้หรือเปล่า?”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆ “หืม อะไรกัน จู่ๆก็...”
“ก็เห็นใครๆ ก็พากันหลงเสน่ห์เด็กคนนี้ไปหมดเลย” มุราซากิบาระบอก พร้อมกับยกนิ้วขึ้นทีล่ะนิ้วตามจำนวนชื่อที่ตัวเองเอ่ยถึง “มีทั้งมิเนะจิน  มิโดจิน แล้วก็คิเสะจิน บางทีอาคาจินก็ด้วย”
คิเสะยื่นมือออกมาข้างหน้าอย่างห้ามปราม “หยุดเลย ฉันจำไม่ได้ว่าฉันเคยพูดสักคำว่าชอบเด็กคนนี้”
“แต่การกระทำมันฟ้องนะ” ร่างสูงเอ่ยเสียงเนือย
“ก็ได้ๆ ยอมแล้ว”  คิเสะชูมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงบอกยอมแพ้ “ก็ไม่ได้คลั่งไคล้อะไรมากมายหรอก ก็แค่ชอบ...ล่ะมั้งนะ  เหมือนมุราซาคิจจินั่นแหละ”
“แล้วคนอื่นล่ะ รู้สึกเหมือนคิเสะจินหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่พวกเขานี่” คิเสะถอนหายใจ “แต่ฉันว่าคนที่เดาอารมณ์ยากที่สุดคงจะเป็นอาคาชิจจิล่ะมั้งนะ...”
ครั้นเอ่ยนามของแวมไพร์ผู้เปรียบเสมือนหัวหน้าของกลุ่ม ความรู้สึกอึดอัดก็แล่นริ้วขึ้นมาในใจ ทั้งเรือนผมสีแดงดุจสีของโลหิต และนัยน์ตาข้างเดียวอันเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย
ถึงกระนั้น...แม้ว่าจะยกให้อีกฝ่ายเหมือนเป็นผู้นำ แต่ลึกๆในใจทุกคนล้วนรู้สึกต่อต้านกันอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่อาคาชิเป็นคนไม่ค่อยพูด มักชอบทำอะไรด้วยตัวคนเดียวโดยไม่บอกใคร และไม่ยอมเปิดใจ บางครั้งก็เผด็จการทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่ปรึกษาคนอื่น  ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเราทุกคนจะเชื่อใจอาคาชิตอบ ในเมื่ออาคาชินั้นไม่ได้เชื่อใจเพื่อนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย...
“อาคาจิน...” อยู่ๆ มุราซากิบาระก็เอ่ยขึ้น “บางทีอาจจะชอบคุโรจินก็ได้...”
คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คนร่างสูงหันขวับกลับไปมองพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะกระตุกเล็กๆ
“อาคาชิจจิเนี้ยนะชอบคุโรโกะ” คิเสะพูดเหมือนคนกลั้นหัวเราะ “อย่ามาล้อเล่นน่า นายคิดว่าเห็นเขาควงผู้หญิงคนสุดท้ายมาเมื่อไหร่กัน คนแบบนั้นน่ะหรอจะสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ”
นัยน์ตาอันง่วงงุนจ้องมองคิเสะที่พยามกลั้นหัวเราะด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่ตอบโต้จะดีกว่า
“ฉันก็แค่คิดเท่านั้นเอง ก็อาคาจินเหมือนพวกปากไม่ตรงกับใจเลย”
“ยังไง?” คิเสะเลิกคิ้ว โดยที่ใบหน้าหล่อเหลาอันน่าหมั่นไส้ยังคงยิ้มขำอยู่
“ก็...” มุราซากิบาระพูด พลางทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มขำของอีกฝ่าย “คนอย่างอาคาจินที่ไม่แม้แต่จะสนใจเราหรือเชื่อใจ คนเย็นชาแบบนั้นกลับเป็นห่วงคุโรจินยิ่งกว่าพวกเราซะอีก บางครั้งวิธีการก็รุนแรงไปบ้าง บางครั้งก็อ่อนโยน แต่เขา...ดูไม่ได้แกล้งทำเลยนะ  มันเหมือนกับว่าการกระทำของเขามาจากใจจริงๆ”
“อืม...” คิเสะครางรับในลำคอ พลางกอดอกด้วยใบหน้าครุ่นคิด “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง  งั้นเขาเป็นไพโบล่าร์งั้นหรอ ?”
“ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น แต่อาจจะใกล้เคียงก็ได้”
“อ่า...” คิเสะขนารับในลำคออย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ว่า...”
“หืม?” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้คิเสะเหลือบสายตามองอย่างสงสัย มุราซากิบาระยังคงเหมือนปกติ เขามีท่าทางลังเลใจว่าควรพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วบางสิ่งบางอย่างในใจก็บังคับให้เขาต้องเปิดปากพูด
“บางทีอาคาจินอาจกำลังเถียงกับตัวเองอยู่ก็ได้  ว่าควรจะลืมทุกอย่างแล้วรักคุโรจิน” มุราซากิบาระถอนหายใจ “หรือว่าควรจะใช้คุโรจินทำตามจุดประสงค์ของตัวเองต่อ”
“งั้นหรอ...” คิเสะยืดตัวเอนกายพิงเก้าอี้ พลางเงยหน้าขึ้นไปข้างบน  ดวงตาสีทองสวยงามเหม่อมองเพนดานอันว่างเปล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้ามันเป็นอย่างที่นายพูดจริงๆ งั้นมันก็หมายความว่าไม่ใช่ไม่มีทางรัก แต่น่าจะหมายถึง ‘รักไม่ได้’ มากกว่าสินะ...”
“...”
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้ามาปกคลุมคนทั้งสอง มีเพียงแค่เสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอของคนร่างบางที่หลับใหลอยู่เท่านั้นที่ยังคงดังอย่างแผ่วเบาในห้องสี่เหลี่ยม พวกเขาไม่พูดอะไรกันอีกเลย ต่างคนต่างอยู่ในความคิดของตัวเองอย่างเงียบงัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องอาคาชินั้นทำให้พวกเขาทั้งคู่รู้สึกสับสนอยู่ในใจไม่น้อย
 มุราซากิบาระไล้นิ้วมือลงบนพวงแก้มขาวซีดของคุโรโกไปมา  นัยน์ตาคมสีม่วงเข้มจ้องมองคุโรโกะด้วยแววตาสงสัย ว่ามนุษย์คนนี้มีอะไรดีถึงทำให้ใครหลายต่อหลายคนหลงใหล  ในขณะที่คิเสะเริ่มคิดว่าทั้งที่คุโรโกะมีคนชอบตั้งมากมายขนาดนี้ แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกพิเศษกับใครบ้างเลยหรอ
...หรือว่ามี แต่พวกเขาแค่ไม่รู้...
“ว่าแต่ไม่ยักรู้นะว่ามุราซาคิจจิทำอาหารของมนุษย์เป็นด้วย ทั้งที่ไม่เคยกินแท้ๆ” คิเสะพยายามชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
มุราซากิบาระหันมาด้วยท่าทางง่วงๆ ก่อนจะยักไหล่ “แค่ดูคู่มือก็ทำได้แล้ว อาหารพวกมนุษย์ทำง่ายจะตาย”
“พูดแบบนั้นมันเสียมารยาทต่อเด็กผู้หญิงทีทำอาหารไม่เป็นนะ”
มุราซากิบาระทำหน้ายู่ “น่ารำคาญน่า...”
“ฮะๆ” คิเสะหัวเราเสียงแห้ง
ทว่าในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น คนตัวเล็กที่นอนหลับใหลอยู่กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลับเลยแม้แต่น้อย...  ใบหน้าหวานเอียงไปมาเหมือนคนทรมาน ริมฝีปากบางเผยอออกน้อยๆ เหมือนพึมพำคำพูดอะไรบางอย่างที่แวมไพร์หนุ่มทั้งสองไม่ได้ยิน  คนตัวเล็กรู้สึกว่าแม้ร่างกายจะหลับใหล แต่ทว่าจิตใต้สำนึกข้างในยังคงตื่นอยู่ และมันก็ได้พาคุโรโกะดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความฝัน
ความฝันที่เป็นความทรงจำของใครคนหนึ่ง  คนที่มักจะใจร้ายกับเขาอยู่ทุกครั้งไป...
ร่างของเขาเบาหวิวลอยไปกับสายลม รู้สึกเหมือนร่างกายล่องลอยผ่านความมืดมิดที่หมุนวนเป็นพายุ จนกระทั่งเท้าของเขาลอยมาแตะบนพื้น  คุโรโกะจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น  ร่างบางกระพริบตาอยู่หลายครั้งก่อนจะแหงนหน้ามองไปรอบๆ ตัวอย่างสงสัย
ตอนนี้คุโรโกะกำลังอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ ต้นไม้สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขายาวเหยียด บรรยากาศอันน่าวังเวงและขนลุก  สีเขียวของใบไม้ถูกอาบไล้ด้วยแสงจากดวงจันทร์และความมืดมิดที่โรยตัวเข้ามา ดวงตากลมโตสีฟ้าครามเหม่อมองจันทรา แม้รอบด้านจะมืดสนิทแต่เพราะแสงของมัน จึงทำให้คุโรโกะยังพอมองเห็นอยู่บ้างลางๆ
ความมืดครึ้มของป่าที่ดูเหมือนไร้ผู้คนทำให้คนตัวเล็กอดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้ ท่ามกลางความวิเวกวังเวงได้ยินเสียงลมเสียดสีใบไม้ดังในหู ใบหน้าหวานหันไปมองรอบๆ เริ่มสงสัยว่าความฝันนี้ตั้งใจจะสื่อสารอะไรกับตัวเองกันแน่ เพราะไม่ว่าจะมองไปที่ใดก็เจอแต่ความว่างเปล่าที่มีความน่ากลัวควบคู่กัน แต่ทว่าดูเหมือนเจ้าของความทรงจำนี้จะไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กสงสัยนาน   ทันใดนั้นเองคุโรโกะก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากอีกด้านหนึ่งของทางที่มืดมิด
 “เขาหายไปอีกแล้ว”
“อย่าสนใจเลยน่ะ เขาก็แบบนี้แหละ”
“เขาไม่ได้บอกไว้หรอว่าจะไปไหน?”
“ไม่ได้บอก...”
‘เสียงคน?’
คนหน้าหวานเอียงคอด้วยความสงสัย และกว่าจะรู้ตัวว่าควรทำอะไร ร่างกายมันก็เคลื่อนไหวเดินตามเสียงนั้นไปเองเสียแล้ว
ก้าวเดินตามทางไปไม่นาน คุโรโกะก็เห็นที่มาของเสียง ภายใต้ป่าอันมืดมิดยังคงมีแสงสว่างอย่างรางเลือนจากกองไฟที่กำลังคุโชน เสียงดังเปรี๊ยะของอัคคีที่แผดเผากองไม้ดังคลอเบาๆ ท่ามกลางสายลมเย็นที่เสียดสีผิวกาย  มีคนจำนวนหนึ่งนั่งล้อมรอบกองไฟ พลางยกมือขึ้นผิงไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ในตอนแรกคุโรโกะไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ ร่างบางก็เห็นหน้าพวกเขาชัดขึ้น และสิ่งที่เห็นก็ทำให้คุโรโกะต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง
พวกเขาคือเหล่าแวมไพร์ที่คุโรโกะรู้จักดี  ร่างบางไล่สายตามองใบหน้าของทุกคนด้วยความแปลกใจ ทุกคนดูวัยรุ่นกว่าตอนปัจจุบันมาก คิเสะยังไม่เจาะหู และยังดูมีท่าทางร่าเริงผิดกับตอนนี้  มิโดริมะดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไรนักหากเทียบกับปัจจุบัน แต่สิ่งที่แปลกตาคุโรโกะที่สุดเห็นจะเป็นแว่นตากรอบเทาที่มีรอยร้าวเล็กน้อยบนเลนส์แว่น  มุราซากิบาระดูง่วงงุน และเอื่อยเฉื่อยไม่ต่างจากปัจจุบันนัก แต่ว่าหากสังเกตดูดีๆ ก็จะเห็นว่าตัวยังไม่สูงใหญ่มาก
คุโรโกะไล่สายตามองทุกคนจนมาหยุดอยู่ที่อาโอมิเนะ ก่อนที่ร่างบางจะรีบเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วด้วยความเจ็บปวดหัวใจ อาโอมิเนะดูเป็นคนเดียวที่ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นตัวเองคนเดิม แต่เพราะความผิดที่ชายหนุ่มกระทำต่อตัวเขา ทำให้แม้การจะฝืนมองหน้าผู้ชายคนนี้ก็เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคุโรโกะ แม้ว่าตัวตนของอาโอมิเนะที่เขากำลังเห็นอยู่ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ตัวตนในอดีตก็ตาม...
ในที่สุดสายตาของคนตัวเล็กก็มาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงทับทิม อดไม่ได้ที่หัวใจดวงน้อยจะเผลอเต้นตึกไปชั่วครู่ด้วยความหวั่นไหว รูปลักษณ์ของชายหนุ่มนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ใบหน้าของอาคาชินั้นช่างหล่อเหลาคมคายราวกับรูปสลักอันประณีต  จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักสีสดตัดกับผิวขาวซีด ตัวตนของผู้ชายคนนี้ในอดีตยังคงมีดวงตาครบทั้งสองข้าง แววตาของเขายังเหมือนเช่นดังปัจจุบัน... แข็งกร้าวแต่ก็น่ากลัว  เย็นชาและเฉยเมยต่อทุกสิ่ง  มีแต่ความเจ็บปวดและความเคียดแค้นที่สะท้อนอยู่ภายใน...
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือทำไมดวงตาข้างซ้ายถึงได้เป็นสีอำพัน แทนที่จะเป็นสีทับทิมเหมือนตอนเด็ก?
เกิดอะไรขึ้นนะ...คุโรโกะคิดในใจ
“ช่วงนี้เขาหายหน้าหายตาบ่อยนะ” คิเสะพูดระหว่างกำลังเอาไม้เขี่ยไฟ
“อย่าใส่ใจเลยน่า คุณแนชก็แบบนี้แหละ” มิโดริมะตอบ
“แต่เขาไม่ได้บอกใครไว้ใช่ไหมว่าหายไปไหน?” อาโอมิเนะถาม พลางควงมีดสั้นในมือเล่น
มิโดริมะมองการกระทำนั้นด้วยแววตาตำหนิ  เพราะเห็นว่ามันดูอันตราย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“เขาก็เป็นแบบนี้ตลอด อยู่ดีๆก็บอกว่ามีธุระต้องไป จากนั้นก็หายหน้าหายตาไปเลย กว่าจะกลับมาก็ตั้งนาน แถมไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขาไปไหน ถามไปเขาก็ไม่ตอบอยู่ดี”
พอได้ยินมิโดรมะพูดแบบนั้น ทุกคนจึงต่างพากันนิ่งอย่างอับจนความคิด...
หลังจากรับตัวอาคาชิเข้ามาอยู่ในกลุ่ม วันเวลาก็ล่วงเลยผ่านไป ทว่าสำหรับเหล่าแวมไพร์ที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานจนเคยชิน  คงไม่อาจนับเวลาได้ว่าจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้มันผ่านมากี่ปีแล้ว แต่ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และยิ่งบวกด้วยการเจริญเติบโตของร่างกายที่ไม่เสถียรด้วยแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าเวลาก็คงจะผ่านมานานพอสมควร
หลังจากอาคาชิเข้ากลุ่มมาอาคาชิก็รู้ว่าเด็กทุกคนที่อยู่กับเขาในตอนนี้ ทุกคนล้วนเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน หรือไม่ก็เป็นเด็กที่ไม่มีที่ให้ไปหรือที่ให้กลับ จนกระทั่งทุกคนได้มาเจอกับแนช... แวมไพร์ซาตานที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลอะไรก็ยังไม่ทราบ  แต่ทุกคนต่างรู้กันโดยสัญชาตญาณ ว่ามันจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างภายใต้การช่วยเหลือนี่แน่ๆ และดูท่าว่าแนชเองก็ไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องนั้นเร็วๆนี้...
งานหลักๆ ของพวกเขาก็คืออพยพไปเรื่อยๆ โดยพยายามไม่ข้องแวะกับมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ อาศัยดื่มเลือดสัตว์พอประทังชีวิตให้อยู่รอด  หาที่อยู่และหาอาหารคืองานหลักของพวกเขา แนชเคยพูดไว้ว่าหากโลกสงบลงเมื่อไร เมื่อถึงเวลานั้นคือเวลาที่งานของเราได้สิ้นสุดลง  แนชสอนพวกเขาใช้เวทมนตร์เล็กๆที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพื่อหัดควบคุมมันให้เป็น และสอนการบินด้วยปีกและการปรับตัวหากได้อยู่กับมนุษย์เมื่อจำเป็น
แต่ถึงกระนั้นนั่นก็ไม่ใช่งานทั้งหมด  มีครั้งหนึ่ง...แนชเคยบอกว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาต้องการก็คือการตามหา ‘เลือดบริสุทธิ์’ ให้พบ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม แต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าแนชตามหามันไปเพื่ออะไร และทำไม 
ในหมู่พวกเขาไม่มีใครรู้ถึงความหมายของเลือดบริสุทธิ์เลยแม้แต่คนเดียว แต่เพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยชีวิตไว้ จึงยอมก้มหน้าทำตามคำสั่งโดยไม่เอ่ยปากถาม แม้ว่าลึกๆ ในใจอยากรู้จนแทบทนไม่ไหวแล้วก็ตาม...
“อาคาชิ เห็นนายสนิทกับคุณแนชนี่ พอจะรู้อะไรบ้างไหม?”
มิโดริมะถามคนที่นั่งเงียบมานาน อาคาชิปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตามองกองไฟอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่รู้สิ...” อาคาชิตอบ
มิโดริมะถอนหายใจ “งั้นหรอ...”
แซ่ก แซ่ก!
“!”
เสียงปริศนาที่ดังมาจากอีกด้านของป่าทำให้ทุกคนลุกขึ้นด้วยท่าเตรียมพร้อมทันที ดวงตาต่างสีที่เฉยเมยบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงคุโชนราวกับถ่านไฟ  รังสีสีดำทมิฬแผ่ออกมาจากร่างกายจนคนตัวเล็กที่ทำได้แค่มองยังกอดตัวเองด้วยความกลัว  คุโรโกะสะดุ้งโหยงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของคนพวกนี้  ท่าทางที่ดูสบายอกสบายใจเมื่อครู่เหมือนเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงสิ่งไมชอบมาพากล พวกเขาก็ต่างพากันเตรียมพร้อมสู้อย่างทันท่วงที และดูไม่มีช่องโหวให้ลอบโจมตีได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“นั่นใคร!” อาโอมิเนะส่งเสียงเรียกอย่างดุดัน “ออกมา หรือจะให้ฉันเข้าไปลากคอแก!”
แซ่ก แซ่ก!
เสียงอะไรบางที่เสียดสีกับพื้นยังคงดังโต้ตอบกลับมาโดยไม่มีท่าว่าเจ้าของเสียงจะปรากฏตัว เมื่อได้เห็นเช่นนั้นทุกคนจึงยิ่งทำหน้าเครียด  มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสัตว์ป่าหรือไม่ก็โจร  ต่างคนต่างกำมีดสั้นสีเงินในมือแน่น เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปลิดชีพตัวอะไรก็ตามที่คิดจะเข้ามาทำร้ายพวกเขา...
เงาดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้  ทุกคนจ้องมองเงาบุคคลปริศนานั่นอย่างไม่วางตา  และเมื่อคนๆ นั้นเดินออกมาจากป่าที่มืดมิดจนได้มาต้องแสงจันทร์จากราตรี ดวงตาของทุกคนต่างก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
“เฮ้ๆ ใจเย็นสิ พวกนายคงไม่ได้คิดจะเอามีดนั่นมาฆ่าฉันใช่ไหม?”
“คุณนิจิมูระ?!” 
ทุกคนพากันพูดขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บุกรุกนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือหนึ่งในพรรคพวกของพวกเขาเอง
‘นิจิมูระ ชูโซ’ คือแวมไพร์อีกคนที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ทุกคนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้มากนัก รู้เพียงแค่ว่าเขารู้จักกับแนช และเดินทางมาด้วยกันเท่านั้น ทั้งสองคนสนิทกันมากถึงขนาดเรียกชื่อกันและกันอย่างห้วนๆ  เนื่องจากว่าแนชชอบหายหน้าไปบ่อยๆ ทำให้คนที่ดูแลพวกอาคาชิเวลาแนชไม่อยู่ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้คือนิจิมูระ 
นิจิมูระเป็นผู้ชายที่ใส่ใจพวกเขาอยู่เสมอ เป็นคนยืดหยุ่น และไม่ค่อยซีเรียสกับชีวิต ด้วยลักษณะนิสัยแบบนี้ทำให้เข้ากับพวกอาคาชิได้ง่าย และทำให้พวกเขานับถือนิจิมูระเหมือนเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของพวกเขา  ต่างกับแนชตรงที่รายนั้นมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ทำให้รู้สึกเหมือนมีระยะห่างระหว่างกัน...
“เอ่อ...” นิจิมูระยิ้มเจื่อน พลางมองมีดในมือของทุกคนด้วยสายตาทำนองว่า ‘จะไม่แทงฉันใช่ไหม?’ เพราะแบบนั้นทุกคนจึงค่อยๆ ทยอยลดมีดสั้นในมือลง ก่อนจะนั่งลงเหมือนเดิม และกลับมามีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นกว่าเก่า เพราะยังไงเสียคนตรงหน้าพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้บุกรุก แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากกว่านั้น...
คนร่างสูงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนจะเดินมานั่งร่วงวงด้วยพร้อมกับลากอะไรบางอย่างตามมาติดๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่มาของเสียงปริศนาเมื่อครู่ ทุกคนพากันมองสิ่งมีชีวิตในมือนิจิมูระด้วยแววตาลำบากใจเล็กน้อย บางคนก็ทำหน้าตกตะลึงเหมือนมองของขยะแขยง แต่ดูท่าว่าคนตัวต้นเหตุที่ลากเจ้าสิ่งนี้มาจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
“มีอะไรหรอ?” นิจิมูระพูด เมื่อเห็นว่าทุกคนพากันมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“เอ่อ...” มุราซากิบาระอ้ำอึ้ง “หมีนั่น...อย่าบอกนะว่า...”
“ใช่ มื้อเย็นของพวกนายไง”
ทุกคนทำหน้ายี้ออกมาทันที ต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยสายตาทำนองว่า ‘ไม่มีทางซะล่ะ’ 
เพราะพยายามไม่ข้องแวะกับมนุษย์ ทำให้ต้องกินเลือดสัตว์เพื่อประทังชีวิต  แต่เลือดสัตว์ให้พลังงานน้อยมากเมื่อเทียบกับเลือดมนุษย์ บวกกับความขยะแขยงที่จะกัดผิวสากๆของมัน ทำให้พวกเขากินกันไม่เยอะ เป็นเหตุผลให้อาหารเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอต่อร่างกาย ซึ่งนิจิมูระจะเป็นคนออกล่าสัตว์ให้พวกเขาทุกวัน ยิ่งด้วยจำนวนคนแล้ว หากล่าตัวใหญ่มามันก็จะยิ่งสะดวกมากกว่า
แต่ให้ดูดเลือดหมีเนี่ยนะ ไม่เอาด้วยหรอก...
“ผมไม่กิน” อาคาชิเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ เขาโยนกิ่งไม้ลงกองไฟด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้เปลวอัคคีเริ่มลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความหนาวเย็นเยียบยามราตรีทำให้แวมไพร์หนุ่มต้องห่อตัวเล็กน้อย
“เอ่อ...ผมด้วยนะฮะ” คิเสะเนียนปฏิเสธตาม ก่อนจะกระเถิบออกห่างเจ้าหมียักษ์ใหญ่ที่ตายคาที่
คนที่เหลือพากันมองหน้ากันอย่างชั่งใจ ทุกคนตอบนิจิมูระด้วยสายตาว่า ‘ไอ้ตัวนี้ไม่ไหวจริงๆ’ ก่อนจะพากันเดินไปนั่งล้อมกองไฟ
“ใจร้ายจังเลยนะพวกนายเนี่ย นี่ฉันอุตส่าห์ไปล่ามาให้เชียวนะ” นิจิมูระเอ่ย พลางเหลือบสายตามองเจ้าหมีที่คงจะต้องตายเปล่า
“ขอบคุณสำหรับความเหน็ดเหนื่อยนะครับ แต่พวกเราคงฝืนใจกินมันไม่ลงจริงๆ” มิโดริมะดันแว่นอย่างเก้อๆ
นิจิมูระถอนหายใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็ก “เอาเถอะ ช่วยไม่ได้นะ ไม่กินก็ไม่กิน”
ว่าแล้วคนร่างสูงก็หยิบมันขึ้นมาด้วยมือเดียว ก่อนจะโยนมันกลับเข้าไปในป่าอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลของแวมไพร์ทำให้ร่างของหมียักษ์ลอยไปด้านหลังค่อนข้างไกล  เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังตุบใหญ่ๆ บ่งบอกว่ามันคงกลายเป็นซากอยู่ในป่าแล้ว
“คุณนิจิมูระ คุณแนชเขาจะกลับมาเมื่อไรหรอ?” มิโดริมะถาม
“ไม่รู้สิ หมอนั่นเดาอารมณ์ไม่ค่อยได้ แต่ถ้าปกติสักอาทิตย์ก็กลับแล้ว” นิจิมูระตอบ
“เขาไปไหนหรอครับ?” คิเสะถาม
นิจิมูระทำหน้ารู้ทัน “อะฮ่า! พวกนายคิดจะล้วงความลับจากฉันสิท่า ฝันไปเถอะ”
“อะไรกัน” พวกเขาทุกคนแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด พอนิจิมูระได้เห็นแบบนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
สำหรับเขาแล้ว เจ้าพวกนี้ก็เหมือนน้องชายนั่นแหละ...
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกนะ แต่ตัวฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นหายไปไหน และพวกนายก็น่าจะรู้นี่ คนอย่างหมอนั่นไม่ใช่ผู้ชายที่จะบอกความลับใครง่ายๆหรอก”
“แล้วธุระของเขามันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรอครับ”
เสียงทุ้มเย็นชาของอาคาชิดังแทรกขึ้นมา  ทุกคนจึงหันไปมองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่นึกว่าอาคาชิที่นั่งเงียบมาตั้งนานจะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
ริมฝีปากสีสดหยักเป็นรอยยิ้ม นิจิมูระหัวเราะเล็กๆในลำคอ “อะไรกันอาคาชิ สนใจอยากรู้ด้วยหรอ?”
คนถูกเอ่ยถึงสะดุ้งเล็กๆ  ริมฝีปากหยักพูดพึมพำอย่างแผ่วเบาว่า ‘ก็นิดหน่อย’
นิจิมูระหัวเราะ พลางโยนกิ่งไม้แห้งลงไปในกองไฟ สายตาจ้องมองเปลวอัคคีที่ลุกโชติช่วงอย่างเงียบงัน...
“ฉันไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญขนาดไหน แต่ฉันดีใจนะที่นายเข้ามาร่วงวงคุยกับพวกเราแบบนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอาคาชิก็ปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย  ถามคำถามด้วยสายตาว่าที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง
“ก็นะ...” นิจิมูระจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยน “นายชอบทำตัวเหมือนมีแค่ตัวเองคนเดียวอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่นายก็มีเพื่อน แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายจะต้องปิดใจจากพวกเราขนาดนั้น”
“...”
ทุกสายตาแอบเหลือบมองอาคาชิสลับกับนิจิมูระอย่างหวาดหวั่น เรื่องที่อีกฝ่ายพูดออกมานั่นล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดกันมาโดยตลอด แต่ว่าไม่มีใครกล้าพูดเพราะกลัวจะโดนโกรธ  ไม่นึกไม่ฝันว่านิจิมูระจะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอย่างง่ายดายด้วยท่าทางใจเย็นแบบนั้น  
บนสีหน้าเรียบเฉยยังคงมีความแปลกใจ อาคาชิมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอึ้งๆ  เขาเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะถูกถามด้วยคำถามแบบนี้ต่อหน้าทุกคน
ทางด้านนิจิมูระนั้นไม่รู้สึกว่าตัวเองพูดจาแปลกๆ เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่กั้นระหว่างเขากับอาคาชิไว้มีเพียงแค่กองไฟอันลุกโชนที่คั่นกลาง  แต่ทว่าเขาสามารถมองเห็นสีหน้าของอาคาชิได้ชัดเจน และทะลุปรุโปร่ง  สีหน้าอันเย็นชาที่มีแสงจากเปลวไฟสะท้อนอยู่บนใบหน้า ไม่อาจปิดบังความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในของเจ้าตัวได้
“พวกเราทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ล้วนผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายกันมาแล้วทั้งนั้น นายเองก็ด้วยอาคาชิ”
“...”
“แต่ว่านายเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมบอกเราว่านายเคยเจออะไรมาก่อนหน้านั้น...”
“...”
“เรารู้เพียงแค่ว่านายถูกจับไปขายในฐานะทาส หรืออะไรก็ตามแต่ที่พวกมนุษย์จะใช้เล่นสนุก  แต่ว่าเราก็รู้เพียงแค่นั้น นอกจากนั้นเราก็ไม่รู้ประวัติความเป็นมาของนายเลย”
“...”
“คนเรามีความลับกันได้ ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกที่เราจะมีเรื่องที่ไม่อยากบอกคนอื่น”
“...”
“แต่ว่าตอนนี้นายมีเพื่อนแล้วนะอาคาชิ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”
“...”
“มีอะไรก็บอกกันได้น่า”
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ”
อาคาชิพูดแทรกขึ้นมากลางวงขัดคำพูดของผู้เป็นพี่ใหญ่  ดวงตาคมทอประกายแสงด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดี ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น ไม่มีใครห้ามเขาแม้แต่คนเดียว ทุกคนเพียงแค่มองตามหลังเขาไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งลับสายตาไปจนมองไม่เห็นในท้ายที่สุด
อาจเพราะว่านี้เป็นความทรงจำของอาคาชิ ทำให้ภาพของคนอื่นๆ เริ่มเลือนรางกลายเป็นกลุ่มหมอกควัน คุโรโกะกระพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปมองอาคาชิที่ภาพของชายหนุ่มยังคงชัดเจน ไม่ได้พร่ามัวเหมือนกับคนอื่น คนตัวเล็กถอนหายใจเล็กน้อย  เมื่อคิดได้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น  เขาจึงเดินตามคนร่างสูงไปอย่างช่วยไม่ได้   ยังไงเสียความทรงจำมันก็จะแสดงให้เห็นแต่สิ่งที่เจ้าของรับรู้เท่านั้น
คนตัวเล็กก้าวเท้ายาวๆ เพื่อไล่ตามอาคาชิให้ทัน แม้ว่านี่จะเป็นภาพในความทรงจำ แต่แค่มองจากแผ่นหลังกว้างนั่นแล้ว เขากลับสัมผัสถึงได้รังสีอันตรายจากผู้ชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน
‘คิดจะไปไหนของเขานะ?’ คุโรโกะคิดในใจ
ราวกับตอบสนองต่อคำพูดของคุโรโกะ อาคาชิหยุดเดินอย่างกะทันหัน ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกใหญ่ ร่างบางมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะก้าวเดินมาด้านหน้า เพื่อจะได้มองสีหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจนขึ้น
อาคาชิดูมีท่าทางที่กระสับกระส่าย เขายกมือขึ้นมากุมหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาตามไรผมทั้งที่อากาศรอบข้างเย็นจัด  ชายหนุ่มก้มหน้าสักพัก พลางสูดลมหายใจเพื่อระงับความรู้สึกอันเจ็บปวดนี้ ก่อนที่มือของเขาจะค่อยๆ ลดต่ำลงมาสัมผัสที่รอบดวงตาสีอำพันข้างซ้าย เขานิ่วหน้าเมื่อความเจ็บปวดเริ่มแล่นเข้ามา  ฝ่ามือหนาจิกเกร็งด้วยความทมาน
ดวงตาสีอำพันของเขาเปล่งประกายท่ามกลางความมืด พร้อมกับเงาดำอันตรายที่แผ่ออกมาอย่างไร้การควบคุม อาคาชิเม้มริมฝีปากแน่น จากความหงุดหงิดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ  เขาทอดสายตามองไปยังภายในป่าอันเงียบสงัด
อาคาชิจ้องมองป่าอันมืดมืด ความรู้สึกอึดอัดแทบจะทะลักออกมาจนทนไม่ไหว  มันร้อนรุ่มและและแผ่ซ่านจากหัวใจแล่นไปสู่ทั่วร่างกาย ความเจ็บปวดจากดวงตาที่เพิ่มเข้ามาทำให้เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในนรก  ความเคียดแค้นและความชิงชังที่มีต่อผู้หญิงคนนั้นพรั่งพรูออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่
อาคาชิไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึแบบนี้ เรื่องความแค้นที่เขามีต่อเท็ตสึยะนั้น เขาพยายามเก็บงำมันไว้กับตัวมาตลอดหลายปี  ยอมรับว่ามันยากในการที่จะคุมความโกรธที่รอวันระบายให้สงบ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ความโกรธแค้นมันจะขู่คำรามในอกเขาอย่างรุนแรงแบบนี้ ตอนนี้ไม่ว่าอะไรในสายตาเขาก็ล้วนน่ารำคาญและรกหูรกตาไปหมด จนนึกอยากจะทำลายมันให้สิ้นซากไปซะ!
ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ ดึงสายตาอันน่าพรั่นพึงให้หันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว เขาเพ่งสายตามองไปยังใต้ต้นไม้ เขาเห็นลูกกระต่ายสี่ตัวพร้อมกับแม่กระต่ายอยู่ตรงนั้น  กระต่ายตัวน้อยเบียดแม่ของมันราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง  ในขณะที่แม่กระต่ายเองก็สั่นด้วยความกลัวไม่ต่างกัน แต่ทว่าแม่กระต่ายกลับกำลังยืนต่อหน้าพวกลูกๆ ของมัน เหมือนกับว่ากำลังปกป้องลูกจากอะไรบางอย่าง
แล้วสิ่งที่คุกคามเหล่าลูกกระต่ายก็โผล่ออกมาจากความมืด มันคือหมาป่าดุร้ายที่มีท่าทางหิวโซ มันขู่คำราม โชว์เขี้ยวคมสีขาวอันน่าหวาดกลัว มันค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาหาเหยื่ออันโอชะพร้อมน้ำลายที่ไหลเยิ้ม เหล่ากระต่ายที่จนมุมไม่อาจหนีไปไหนได้ แต่แม่กระต่ายกลับเลือกที่จะปกป้องลูกๆ ของมันอย่างสุดความสามารถ
อาคาชิมองหมาป่าอย่างเย็นชา เขาจ้องมองและเฝ้าดูว่ามันจะทำอย่างไร เจ้าหมาป่าทำจมูกฟุดฟิดประหนึ่งกำลังสูดกลิ่นอันโอชะที่มีชีวิตของเหยื่อเป็นครั้งสุดท้าย  ไม่รู้ทำไมแต่อาคาชิไม่สามารถละสายตาไปได้เลย  เขาจ้องมองมันอย่างนิ่งงัน  และทันใดนั้นเองริมฝีปากรูปกระจับของอาคาชิก็แย้มหยักเป็นรอยยิ้มอันน่าขนลุก...
เจ้าหมาป่ากระตุกเฮือก ขาทั้งสี่เกร็งยื่นออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน อาคาชิกระตุกยิ้มร้ายบนมุมปากในขณะที่มองมันอย่างไม่วางตา มันร้องโหยหวนอย่างทรมาน ขาคู่หน้าที่มีเล็บไว้ฉีกกระชากสัตว์อื่นบิดหมุนเป็นเกลียว โลหิตสีแดงสดทะลักออกมาทางปาก ก่อนที่ร่างของมมันจะกระตุกเกร็งเป็นครั้งสุดท้าย และสิ้นลมหายใจอยู่ต่อหน้ากระต่ายพวกนั้น
เหล่ากระต่ายทุกตัวเริ่มหยุดสั่น แม่กระต่ายเลียขนลูกมันด้วยความโล่งใจ ก่อนที่พวกมันจะพากันกระโดดหนีไปทางอื่นเพื่อกลับโพรง  อาคาชิระบายลมหายใจ ความร้อนรุ่มที่แผ่ซ่านอยู่ในอกเบาบางลงจนไม่รู้สึกเจ็บปวดแล้ว เขายกมือขึ้นมาสัมผัสบนรอบดวงตาข้างซ้าย ซึ่งทอแสงประกายแสงสีทองรางๆ ท่ามกลางความมืดมิด  อาคาชิเหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ก่อนที่เขาจะหลับตาลง
...จนกว่าจะได้เจอเท็ตสึยะ เขาจะให้ดวงตาข้างนี้ควบคุมเขาไม่ได้...
“ยังไม่ชินอีกหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง เรียกให้อาคาชิหันไปมองด้วยแววตาเรียบเฉย
“คุณนิจิมูระ...ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“เห็นนายหายไปนาน ฉันเลยเป็นห่วง คิดว่าบางทีนายอาจจะรู้สึกเจ็บตาขึ้นมาอีกก็ได้...” นิจิมูระคลี่ยิ้มเล็กๆ “การจะควบคุมเนตรจักรพรรดิได้มันไม่ง่ายอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าของเก่ามันแข็งแกร่งขนาดนั้น”
“ผมเข้าใจครับ...” อาชิตอบเสียงเบา
นิจิมูระถอนหายใจเล็กน้อย คนร่างสูงกวักมือเรียก พลางทำริมฝีปากพึมพำทำนองว่า ‘กลับไปหาคนอื่นๆ กันเถอะ’ อาคาชิมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินกลับไปหาทุกคนด้วยกัน แต่ทว่าแต่ล่ะย่างก้าวของคนทั้งสองกลับเชื่องช้านัก ไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับไปหาพวกที่เหลือเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าทั้งคู่จงใจทำเพื่อใช้โอกาสนี้ในการคุยกันตามลำพัง
นิจิมูระยีเรือนผมสีแดงสดเบาๆ ด้วยความเอ็นดู อาคาชิทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“ตอนนี้มันอาจยังไม่ยอมรับนาย แต่ฉันเชื่อว่าคงอีกไม่นานหรอก” คนร่างสูงยิ้มกว้างจนตาหยี “เนตรจักรพรรดิจะเลือกคนที่เหมาะสมและคู่ควร คนที่ไม่เหมาะสมก็จะค่อยๆ ถูกดวงตานั่นช่วงชิงพลังชีวิตไปทีล่ะน้อย ฟังดูน่ากลัวจังนะ”
“ผมไม่อ่อนแอขนาดนั้นหรอกครับ” อาคาชิพูดอย่างแน่วแน่ นิจิมูระเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กๆ
“ตอนแรกฉันก็ไม่เห็นด้วยนะที่แนชผ่าตัดเปลี่ยนดวงตาให้นาย มันมีพลังอำนาจมากเกินไป  ฉันไม่แน่ใจว่าด้วยอายุของนายในตอนนั้นจะผ่านมันไปได้หรือเปล่า แต่ดูท่าว่าฉันจะคิดมากเกินไปสินะ”
“งั้นหรอครับ...”
“คือว่า...” นิจิมูระเกาแก้มอย่างเก้อๆ พลางเหลือบตามองอาคาชิเล็กน้อย ทำให้คนร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ เพื่อตัดรำคาญ
“มีอะไรหรอครับ?”
“เอ่อ...” นิจิมูระกระอั่กกระอ่วน “เรื่องเมื่อกี้ต้องขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะซักไซ้เรื่องของนายหรอก ฉัน...แค่เป็นห่วงนายน่ะ”
“ครับ ผมเข้าใจ”
อาคาชิพยักหน้ารับแบบขอไปที ทำให้อีกฝ่ายคลี่ยิ้มออกมาอย่างคลายกังวล หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่มีบทสนทนาอะไรกันอีกไปตลอดทาง ทั้งคู่เดินผ่านป่าไปอย่างเงียบงัน แต่อาคาชิอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบสายตามองพี่ใหญ่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจ
ในใจเขาไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองนิจิมูระเลยแม้แต่น้อย ปฏิเสธไม่ได้ว่าอดีตของเขาคือสิ่งที่เพื่อนๆ อยากรู้ แต่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่สมควรที่จะได้รู้ทั้งนั้น  เพราะเขาไม่อาจเชื่อใจใครได้อีก...มันเป็นเรื่องของเขาเพียงคนเดียวที่เขาไม่ต้องการให้ใครมาขัดแข้งขัดขา  มันคือการแก้แค้นของเขาเพียงคนเดียว ฉะนั้นเขาจะต้องสะสางเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
แค่ให้แนชรู้คนเดียวก็แย่เกินพอแล้ว...
แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามีคนรู้สึกเป็นห่วง มันนานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีคนมายีหัวเขาเล่นแบบนี้  นิจิมูระมีความอบอุ่นและความอ่อนโยนที่ช่วยทำให้จิตใจของเขารู้สึกสบายอกสบายใจอย่างน่าประหลาด  มันเหมือนกับความรู้สึกในตอนที่เขายังมีเท็ตสึยะอยู่เคียงค้าง  ในตอนแรกที่ก่อนเขาจะรู้ตัวว่าแอบชอบเท็ตสึยะ ความรู้สึกแรกเริ่มที่มีนั้นเป็นความรู้สึกเหมือนเขาได้มีพี่สาว  ซึ่งนิจิมูระเองก็ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกันในฐานะพี่ชาย
...ลองเชื่อใจหน่อยจะเป็นอะไรไหมนะ...
“ทำไมคุณแนชถึงให้ดวงตานี้กับผม” อาคาชิพูด “คุณเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าครับ?”
ทันใดนั้นนิจิมูระก็หยุดยืนนิ่ง ดวงตาคมสีดำทมิฬจ้องมองเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาอบอุ่นเหมือนอย่างเคย
“ก็ต้องสงสัยสิ” นิจิมูระหัวเราะ “รู้สึกน้อยใจนิดๆแฮะที่นายไม่บอกฉัน  แต่มีแค่นายกับแนชที่รู้นี่ ใช่ไหม?”
อาคาชิหลุบตาต่ำ “ครับ...”
“เฮ้ๆ ไม่ต้องรู้สึกผิดก็ได้ ก็อย่างที่ฉันเคยบอกไง ไม่ว่าใครก็ต้องมีความลับกันสักเรื่องสองเรื่องอยู่แล้ว”
“...”
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ”
ทันใดนั้นอาคาชิก็ยื่นมือไปดึงชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น นิจิมูระชะงัก ก่อนจะหันมาหาเด็กหนุ่มด้วยท่าทางงุนงง  ทว่าเขากลับไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว คนร่างสูงคลี่ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอบอุ่น  รอคอยอย่างใจเย็นให้อาคาชิเป็นคนตัดสินใจพูดด้วยตัวเอง...
“ผม...” อาคาชิพูดอย่างลำบากใจ “ผมมีเรื่องอยากจะบอกครับ”
หลังจากนั้นอาคาชิก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้นิจิมูระฟัง ทั้งเรื่องผู้หญิงที่ชื่อเท็ตสึยะ  เรื่องที่เขาถูกหักหลัง  และเรื่องที่มาของดวงตาข้างนี้  นิจิมูระมีสีหน้าที่นิ่งขึ้นตามเนื้อเรื่องที่เริ่มเลวร้ายลง จนกระทั่งอาคาชิเล่าจบ อีกฝ่ายถึงได้เริ่มมีสีหน้าอื่นบ้าง
คนร่างสูงสูดหายใจเข้าอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเริ่มพูดเสียงเย็น “สรุปคือนายมากับเขาเพื่อแก้แค้น?”
“ใช่ครับ นั่นคือเป้าหมายของผม  มันคือข้อตกลงระหว่างผมกับคุณแนช” แม้คำพูดจะเรียบเฉย แต่แววตากลับเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง และเต็มไปด้วยไฟแค้นที่ไม่มีวันมอดดับ
นิจิมูระถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสความแค้นของอาคาชิได้ชัดเจนขนาดนี้  มันน่ากลัว แต่ว่าในขณะเดียวกันก็น่าสงสาร...
“ข้อตกลงระหว่างนายกับหมอนั่นคือนายจะช่วยเขาตามหาเลือดบริสุทธิ์ระหว่างที่ออกตาหาผู้หญิงคนนั้นไปด้วย  หากนายแก้แค้นสำเร็จ เมื่อถึงเวลานั้นนายก็จะไปจากเขาสินะ”
อาคาชิพยักหน้า
“แล้วนาย...” นิจิมูระพูดเสียงเย็น “รู้หรอว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน?”
ทันใดนั้นความเงียบอันน่าอึดอัดก็เข้ามาปกคลุมคนทั้งสอง อาคาชินิ่งเงียบ พลางก้มหน้านิ่งอย่างอับจนคำพูด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่นิจิมูระเอ่ยออกมานั้นแทงใจดำเขาเข้าเต็มเปา  แน่นอนว่าตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ สิ่งที่หล่อเลี้ยงเขาให้มีชีวิตอยู่คือตัวตนของเท็ตสึยะ แต่ว่ามันไม่ใช่ความรักหรือสิ่งเสน่ห์หาใดๆ ทั้งสิ้น  แต่มันคือความเคียนแค้นที่เขามีต่อผู้หญิงคนนั้นอย่างเต็มหัวใจ และรอวันปลดปล่อยอย่างสาสมกับความโกรธเกรี้ยวที่เก็บกดมันไว้มานานแสนนาน
แต่จากตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็ยังตามหาตัวเท็ตสึยะไม่พบ... ไม่รู้ว่าเธอไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไรอยู่  ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว...
ส่วนลึกในใจอาคาชิคิดว่าบางทีเธออาจจะตายแล้ว  แต่เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้  เท็ตสึยะไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอที่จะมาจบชีวิตลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว  ถึงกระนั้นคำถามอีกหนึ่งคำถามก็รุมเร้าจิตใจจนนอนแทบไม่หลับ  ทั้งผมสีฟ้าและดวงตาสีอะความารีน สิ่งงดงามอันเด่นชัดเหล่านั้นจะไม่สะดุดสายตาใครบ้างเลยงั้นหรอ....
“เจ็บใจที่ต้องพูดแบบนี้นะครับ แต่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” อาคาชิเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวังจางๆ นิจิมูระถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
“งั้นหรอ...”
ในตอนนั้นไม่รู้ว่าคุโรโกะตาฝาดหรือเปล่า  แต่เขารู้สึกว่าเขาเห็นประกายวูบไหวแปลกๆ บนดวงตาของผู้ชายที่ชื่อว่านิจิมูระ...
“เอาล่ะ ตัดสินใจแล้ว” อยู่ๆ นิจิมูระก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง “ฉันจะช่วยนายอีกแรงเอง”
“เอ๊ะ?”
ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาคมกระพริบเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยกฝ่ามือขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อนนะครับ นี่คุณหมายถึงอะไร?”
“ฉันจะช่วยนายตามหาผู้หญิงคนนั้น เพื่อให้นายแก้แค้นได้สำเร็จยังไงล่ะ”
“แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรล่ะครับ...”
“ก็นายบอกว่าถ้านายแก้แค้นสำเร็จ นายก็จะไปจากแนชยังไงล่ะ”
อาคาชิเลิกคิ้ว “ผมนึกว่าพวกคุณสนิทกัน?”
“ใช่ ก็สนิท แต่ว่า...” ทันใดนั้นนัยน์ตาคมสีดำทมิฬก็เย็นเยียบอย่างที่อาคาชิไม่เคยเห็นมาก่อน  ใบหน้าของเขาดูไม่อบอานเหมือนอย่างเคย เขาเดินเข้ามาใกล้อาคาชิในระยะประชิด จนกระทั่งอาคาชิ...เป็นไปได้หรือนี่  ก้าวถอยหลังหนีนิดหน่อยด้วย
“ถึงฉันกับหมอนั่นจะสนิทกัน แต่ว่าฉันเดาอารมณ์หมอนั่นมันไม่ถูกหรอก”
“งั้นหรอครับ...” อาคาชิแอบเบี่ยงสายตาหนีอย่างหวาดหวั่น อะไรกัน...ความรู้สึกแปลกๆนี่
“ลึกๆ แล้วฉันเองก็ไม่ใว้ใจแนชหรอก ที่เดินทางมาด้วยเพียงเพราะแค่ต้องการเพื่อนร่วมทาง ฉันไม่ได้สนใจเรื่องเลือดบริสุทธิ์อะไรนั่นหรอก” ในพริบตานั้น แววตาของนิจิมูระก็กลับมาเป็นคนเดิม อบอุ่น และอ่อนโยน เหมือนกับดวงอาทิตย์
“แต่ว่าจนฉันมาเจอพวกนาย มันทำให้ฉันหวนนึกถึงน้องชายของฉัน โชคร้ายที่พวกเขาไม่ได้รอดเหมือนฉัน...”
“เสียใจด้วยครับ...” อาคาชิบอก
“ไม่เป็นไรหรอก” นิจิมูระส่ายหน้า “สำหรับฉันพวกนายทุกคนคือน้องชายคนสำคัญ และไม่ว่าความต้องการของนายคืออะไร ฉันจะช่วยทำมันให้สำเร็จเอง ถึงแม้ว่านั่นจะคือการฆ่าคนก็ตาม...”
“...”
“นั่นคือคำมั่นสัญญาของฉัน”
“...”
“เชื่อใจฉันหรือเปล่าล่ะ?”
อาคาชิมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ  ความกลัวที่จะถูกหักหลังกับความต้องการอยากให้การแก้แค้นสำเร็จเอียงไปมาเหมือนตาชั่ง เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ที่เขาไม่ตอบอะไร ได้แต่มองหน้านิจิมูระอย่างเงียบๆ อยู่แบบนั้น  แต่ทว่าโดยที่ตัวเขาเองยังไม่รู้... ริมฝีปากรูปกระจับของอาคาชิหยักแย้มเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย  ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มแห่งความโล่งใจ เป็นรอยยิ้มที่มอบให้คนที่เขาจะเชื่อมั่น เป็นรอยยิ้มที่อาคาชิไม่ได้ยิ้มให้ใครแบบนี้มานานแสนนานแล้ว...
แล้วความทรงจำของ ‘อาคาชิ เซย์จูโร่’ ก็จบลง... ภาพทุกอย่างเริ่มพร่าเลือนประหนึ่งว่ามีกลุ่มหมอกบดบัง คุโรโกะรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเบาหวิว ก่อนที่มันจะถูกกระชากอย่างแรงขึ้นไปสู่ด้านบน ไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ตัวเขาในตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงอุ่นๆ 
แต่ว่ามันช่างเป็นเรื่องที่ตลกร้ายเหลือเกิน เมื่อการที่ความทรงจำของอาคาชิจบลงนั้น มันย่อมหมายความว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องตื่นแล้ว  ตื่นไปรับรู้ความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย และตัวเขาไม่อยากจะจดจำมันเลยแม้แต่นิดเดียว...
...
...
...
คนตัวเล็กดวงตาเบิกโพรง ก่อนจะผวาเฮือกทะลึ่งตัวขึ้นมาจากเตียง แล้วหอบหายใจถี่รัว
“คุโรโกะ”  มิโดริมะแตะตัวคนตัวเล็กเบาๆ สีหน้าของเขาดูเป็นห่วงและกังวล “รู้สึกตัวแล้วหรอ?”
คุโรโกะกระพริบตา ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ตัวด้วยท่าทางมึนงงเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งคิเสะ มุราซากิบาระ และมิโดริมะกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะรู้สึกตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ คุโรโกะก็ลุกพรวดขึ้นมาแบบนั้น
“เป็นอะไรไปคุโรจิน” มุราซากิบาระเอียงคอ “ฝันร้ายหรอ?”
“เปล่าครับ...” คุโรโกะตอบเสียงแหบแห้ง “ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“ก็เพราะพวกเราเป็นห่วงน่ะสิ” คิเสะรินน้ำใส่แก้ว ก่อนจะยื่นให้คุโรโกะ “เอ้า ดื่มน้ำซะ นอนนานจนเสียงแหบเสียงแห้งหมดแล้ว”
“ขอบคุณครับ...”
คุโรโกะรับแก้วน้ำมาจากมือของคิเสะ ก่อนจะค่อยๆ จิบน้ำทีล่ะน้อย ครั้นน้ำเย็นไหลลงสู่คอ คุโรโกะก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ยังรู้สึกเจ็บอยู่หรือเปล่า?” มิโดริมะยื่นมือมาแตะแขนคุโรโกะ ทว่าอีกฝ่ายกลับรีบขยับตัวหนีทันที
คิเสะกับมุราซากิบาระหันไปมองตากันด้วยสายตาอึ้งๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่คุโรโกะไม่ใว้ใจใครนั้นเป็นเรื่องจริง
“ขะ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
เมื่อเห็นว่าตัวเองแสดงท่าทางแบบนั้นออกไป คุโรโกะจึงรีบเอ่ยปากขอโทษด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าความใจดีของคนอื่นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน...
“ไม่หรอก ฉันเข้าใจ” มิโดริมะส่ายหน้าเบาๆ “นายไม่ได้กลัวทุกคน แต่นายกลัวแค่พวกฉันมากกว่า ถูกต้องใช่ไหม?”
“คงแบบนั้นล่ะมั้งครับ...”
“เอาเถอะ พอเวลาผ่านไปเดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเอง”
“ขอบคุณครับที่เข้าใจ”
คุโรโกะไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาพูดแทน  มิโดริมะเป็นคนใจดีจริงๆ เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำเหมือนว่าผู้ชายคนนี้เป็นสิ่งสกปรก แต่ร่างกายมันเคลื่อนไหวไปเองโดยที่เขาไม่รู้ตัว บางทีมันก็คงจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอก  เพราะยิ่งใกล้ชิด ยิ่งสนิทสนม ก็เลยรู้สึกกลัวที่จะไว้ใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาเชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องออกมาโอเค
“แล้วเมื่อกี้ทุกคนคุยอะไรกันอยู่หรอครับ?”
พอคุโรโกะถามแบบนั้นออกไป ทุกคนก็มีท่าทางกระอั่กกระอ่วน พวกเขาแอบมองหน้ากันเงียบๆ พลางสื่อสารกันทางสายตาโดยที่คุโรโกะไม่เข้าใจ สักพักหนึ่งมิโดริมะจึงเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาแทน
“ก็คุยกันเรื่องทั่วๆ ไปนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่มีของมาให้ ก็เลยแวะเข้ามาเยี่ยมนายเฉยๆ”
“งั้นหรอครับ...”
ในใจลึกๆ คุโรโกะไม่เชื่อว่านั่นคือความจริง แต่ในเมื่อพวกเขาไม่อยากจะบอก คุโรโกะก็ไม่อยากจะไปดื้อรั้นให้ต่างฝ่ายต่างต้องรู้สึกลำบากใจ  ซึ่งในใจของมิโดริมะเองก็ต้องการแบบนั้น  เพราะคุโรโกะคงจะไม่อยากได้ยินชื่อของอาโอมิเนะดังมาเข้าหูในตอนนี้หรอก...
“คุโรจิน ฉันทำข้าวต้มมาให้~”
มุราซากิบาระหยิบถ้วยข้าวต้มขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง  เขาเปิดฝาออกแล้วจัดแจงวางบนโต๊ะคร่อมเตียงให้เรียบร้อย ทำให้กลิ่นหอมลอยฟุ้งขึ้นมาแตะจมูกคนตัวเล็ก  คุโรโกะกระพริบตาปริบๆ มองถ้วยข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะเหนือต้นขาตนเอง ก่อนจะเบนสายตามองมุราซากิบาระด้วยแววตาแปลกใจ
“เอ่อ...”
“ไม่ได้ใส่ยาพิษ” ร่างสูงพูด
“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นครับ” คุโรโกะยิ้มแห้ง “แค่รู้สึกแปลกๆน่ะครับ...”
“รู้สึกแปลกๆ หรอ?”
“ครับ” คุโรโกะยิ้มบาง “ตอนแรกที่ผมมาที่นี่ ทุกคนใจร้ายกับผมมากเลย”
พูดแบบนี้ปุ๊บ ทุกคนก็พากันหลบหน้าด้วยรอยยิ้มเจื่อน ทำเอาคนตัวเล็กเผลอหัวเราะออกมาด้วยความตลก
“ไม่คิดเลยนะครับว่าจะมีวันที่ทุกคนใจดีกับผมแบบนี้  แต่ว่า...”
“...”
“ก็ไม่ใช่แวมไพร์ทุกคนที่จะเป็นแบบพวกคุณสินะครับ...”
ราวกับว่าคำพูดนั้นคือสิ่งที่คุโรโกะกำลังพูดกับตัวเอง เมื่อก่อนหน้านี้เขาเคยคิดกับตัวเองในใจว่าแวมไพร์ทุกคนอาจไม่ใช่คนเลวทั้งหมด และพวกเขาอาจไม่ได้เลวโดยสันดาน เพียงแค่สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายเปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นคนไร้หัวใจ แต่ตอนนี้คุโรโกะได้พิสูจน์แล้วว่าเรื่องที่เขาคิดมันเป็นความจริง แต่ว่าไม่ใช่แวมไพร์ทุกคนจะเป็นอย่างนั้น
เมื่อมีแสงสว่างก็ย่อมต้องมีความมืด เมื่อมีแวมไพร์ที่ดีก็ย่อมต้องมีแวมไพร์ที่โหดร้าย...
...ตัวเขาเองก็เจอมากับตัวแล้วนี่...
“คุโรจิน~” มุราซากิบาระพูด “เลิกคิดถึงเรื่องแย่ๆ แล้วกินข้าวเถอะ”
“เอ๊ะ?” ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ
“ในหนังสือบอกไว้ว่าของอร่อยจะช่วยทำให้จิตใจรู้สึกดีขึ้นนะ ถึงฉันจะไม่รู้รสชาติของอาหารมนุษย์ก็เถอะ” ประโยคสุดท้ายคนร่างสูงพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นพึมพำกับตัวเอง คุโรโกะหัวเราะคิกคักให้กับท่ทางอันน่ารักของคนตัวใหญ่ใจเด็ก ก่อนจะทำตามที่อีกฝ่ายพูด โดยการเริ่มหยิบช้อนขึ้นมา
คุโรโกะค่อยๆ กลืนข้ามต้มหมูสับลงคอไปอย่างช้าๆ ความอร่อยแล่นขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะต้องตักขึ้นมากินอีกหลายๆ คำ ใบหน้าที่เคยซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดฝาดเมื่อได้รับสาอาหารเข้าไป ข้ามต้มมันค่อนข้างอุ่นมากกว่าร้อน แต่ก็ไม่ได้เย็นชืดเสียรสชาติจนเกินไป
แม้คนตัวเล็กจะกินเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าน่ารักที่ยิ้มน้อยๆ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอาหารมื้อนี้อร่อยมาก มุราซากิบาระแอบยิ้มน้อยๆ ด้วยความดีใจ มันเป็นความรู้สึกที่แวมไพร์อย่างเขาไม่มีทางเข้าใจ แต่แค่ได้เห็นคุโรโกะกินอย่างมีความสุขแบบนี้เขาก็ดีใจแล้ว
คิเสะแอบเหลือบมองคนตัวสูงใหญ่น้อยๆ ด้วยรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ มุราซาคิจจิ ฉันว่าเราไปกันดีกว่า ให้พวกเขาอยู่กันสองคนเถอะ”
มุราซากิบาระดูมีท่าทางไม่อยากไป แต่ก็รู้ตัวว่าปฏิเสธไม่ได้จึงยอมทำตามในท้ายที่สุด 
ทั้งสองคนเดินไปยังประตู พลางโบกมือลาให้คนตัวเล็กเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม คุโรโกะจึงโบกมือลาตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนบนใบหน้า ทว่าก่อนไปคิเสะกลับเอียงหน้าออกมาจากประตูแล้วพูดกับคุโรโกะ
“จริงอยู่ว่าไม่แนะนำให้ไปโรงเรียน แต่ว่า...” คิเสะคลี่ยิ้มบางๆ “บางครั้งการออกไปเจอคนอื่นบ้างมันก็ช่วยได้เยอะเลยนะ”
แล้วชายหนุ่มก็โบมือบ๊าบบายให้ส่งท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เสียงประตูปิดที่ดังแค่เพียงเสี้ยววินาทีกับคนสองคนที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสมความต้องการ  บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยพลันเงียบสงบลง มิโดริมะไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองคุโรโกะทานอาหารอย่างเงียบๆ  พอลองมาคิดดูดีๆ คุโรโกะก็ไม่ได้กินอะไรมาหลายชั่วโมงแล้ว คงจะต้องหิวมากแน่ๆ ฉะนั้นปล่อยให้กินเงียบๆ อย่างมีความสุขสักพักโดนไม่ต้องมีคำถามอันน่าปวดหัวมากวนใจจนกินข้าวไม่อร่อยจะดีกว่า
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ จนข้าวต้มในถ้วยเริ่มลดน้อยลงก่อนจะหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน คนตัวเล็กปิดชามข้าวให้เรียบร้อย พลางพนนมมือแล้วกล่าวขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ในใจ
“แล้ว...” คุโรโกะเริ่ม “มีอะไรอยากจะคุยกับผมหรอครับ?”
“เอ่อ...” มิโดริมะตอบอย่างลำบากใจ  ก่อนที่เขาจะยกถ้วยชามข้าวของคุโรโกะไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ดูเหมือนว่ามิโดริมะต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการที่จะพูดเรื่องต่อจากนี้
“แล้ว...” คุโรโกะเร่งอย่างนิ่มนวล “มีอะไรครับ?”
“ฉัน...”
มิโดริมะหยิบขวดยาบางอย่างขึ้นมา แล้วยื่นให้คุโรโกะ คนตัวเล็กกระพริบตา พลางมองขวดจิ๋วในมืออีกฝ่ายด้วยความสงสัย ทว่าครั้นเห็นดวงตาสีเขียวงดงามที่เหมือนบอกกับเขาว่า ‘ช่วยรับไปเถอะ ’ คุโรโกะจึงตัดสินใจรับมันมาอย่างจำยอม
“นี่มัน...” ดวงตากลมโตมองของเหลวสีทองอบอุ่นในขวดแก้วเจียระไนด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะเบนสายตามองหน้ามิโดริมะเพื่อขอคำตอบ
“มันคือน้ำยาแห่งชีวิต” มิโดริมะบอก
“น้ำยาแห่งชีวิต?”
มิโดริมะพยักหน้า
“แล้วคุณให้มันกับผมทำไมครับ?”
มิโดริมะมีท่าทางที่กระอั่กกระอ่วนใจ เขาเหลือบมองคุโรโกะสลับกับขวดยาในมือ มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นเสียจนเหงื่อชื้นขึ้นตามฝ่ามือ    บางสิ่งบางอย่างเริ่มลังเลในใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้มันจะส่งผลร้ายหรือดีกันแน่  แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นพอๆ กับที่คุโรโกะเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน
มิโดริมะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจพูด
“ตามชื่อนั่นแหละ  น้ำยาแห่งชีวิต...น้ำยาที่มอบชีวิตใหม่ให้แก่ผู้ใช้” มิโดริมะบีบมือทั้งสองเข้าหากันแน่นและจิกเนื้อจนเป็นรอย
 “ไม่ว่านายจะบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะตายแค่ไหน แค่เพียงนายดื่มมันเข้าไป นายก็จะกลับมามีวิตอีกครั้ง”
คุโรโกะกระพริบตาด้วยความตะลึง
“อ่า...มันก็สุดยอดนะครับ” ร่างบางยิ้มเจื่อน “แต่ว่ามันจำเป็นกับผมด้วยหรอ?”
“จำเป็นสุดๆ เลยล่ะ”
“เอ๊ะ?”
ในวินาทีนั้นคุโรโกะนั่งเกร็งโดยไม่รู้ตัว
“อาคาชิกำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่าง แม้ฉันจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ และนาย...” มิโดริมะหลุบตาต่ำลง มือที่ประสานกันของเขากุมเข้าหากันแน่น ทำให้หัวใจของเด็กน้อยหล่นวูบ
“และนายกำลังตกอยู่ในอันตราย บางทีอาจจะต้องตาย”
“ตายหรอ...” คุโรโกะทวนคำด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ รู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง รู้สึกว่าร่างทั้งร่างเกร็งไปหมดจนขยับตัวแทบไม่ได้
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายกลัวนะ” ร่างสูงสบตาคุโรโกะ “แต่ฉันเชื่อว่าอาคาชิต้องพยายามทำอะไรบางอย่างที่จะต้องดึงนายไปสู่ความตายแน่”
คุโรโกะก้มหน้านิ่ง พลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สองมือบางจิกเข่าตัวเองแน่น  ความรู้สึกอันสับสนประเดประดังเข้ามาจนเขารู้สึกเรียบเรียงเรื่องราวไม่ถูก  
เข้าไม่เข้าใจเลย...อาคาชิจะฆ่าเขาไปเพื่ออะไรล่ะ  เขาทำอะไรผิดงั้นหรอ หรือเพราะว่าเขาคิดจะไปฆ่าอีกฝ่ายก่อน อาคาชิก็เลยคิดจะชิงลงมือก่อน...
...ไม่เข้าใจเลย...
“ยังไงก็เก็บขวดยานี้ไว้เถอะนะ”
มิโดริมะบีบมือคุโรโกะให้กำขวดยานั่นไว้ ในขณะที่คนร่างบางไม่ปฏิเสธการถูกแตะตัวเหมือนทุกที เขาสลับสายตามองระหว่างของในมือกับใบหน้าได้รูปของอีกฝ่าย  ความสงสัยในใจทำให้ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนพูดอะไรไม่ออก
“จำไว้นะคุโรโกะ...” มิโดริมะจ้องมองดวงตาสีฟ้าครามด้วยแววตาเว้าวอน  “ยานี่มันใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ฉะนั้นเก็บรักษามันไว้ดีๆ และ...”
“...”
“คิดให้ดีก่อนจะใช้มัน ถือซะว่าฉันขอร้อง”
คนตัวเล็กไม่ได้พยักหน้ารับหรือส่ายหน้าปฏิเสธ เขาเพียงแค่พึมพำออกไปเบาๆ ว่าครับ โดยที่ไม่ได้แสดงอาการว่าเชื่อฟังหรืออะไร ถึงกระนั้นคนตัวเล็กก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขากำลังรู้สึกกลัว
“นี่ นายไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ ถึงฉันจะเป็นคนทำให้นายต้องรู้สึกเครียดก็เถอะ”
“...”
ดวงตาสีมรกตมองคนน่ารักด้วยรอยยิ้มเอ็นดู  ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตาที่กำลังหวาดกลัวนั้นก็น่ารักไม่เลวเลย แต่เขาไม่อยากให้คุโรโกะไปโฟกัสถึงเรื่องความเป็นความตายตอนนี้ ทางที่ดีพยายามเปลี่ยนเรื่องให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นจะดีกว่า  และถ้าหากพูดถึงเรื่องที่จะช่วยให้คนตัวเล็กรู้สึกร่าเริงขึ้นแล้ว  เขาก็นึกออกแค่เรื่องเดียวเท่านั้น
“แต่ฉันมั่นใจนะว่าอาคาชิคงไม่ลงมือเร็วๆนี้”
พอสิ้นคำพูดของมิโดริมะ คุโรโกะก็แอบส่งเสียง ‘เหอะ!’ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงกระด้าง
“มั่นใจได้ยังไงครับ”
“ฉันมั่นใจเพราะฉันรู้ว่าหมอนั่นกำลังลังเล”
“ลังเล?”
“คุโรโกะ นายเองก็น่าจะเริ่มรู้สึกได้แล้วนี่ ไม่ใช่หรอ?”
คำพูดอันอบอุ่นของมิโดริมะทำให้คุโรโกะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ระหว่างเขากับอาคาชิ ทันใดนั้นพวงแก้มขาวของคุโรโกะก็เริ่มขึ้นสีชมพูฟาด ร่างบางก้มหน้างุดด้วยความเขินอายพร้อมหัวใจที่เต้นตึกตัก และคำพูดต่อมาของชายหนุ่มก็ต้องทำให้คุโรโกะเขินจหน้าแดงแปร๊ด
“ฉันคิดว่าอาคาชิน่าจะชอบนายนะ”
คุโรโกะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันทีอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาแทบถลนออกมาจากเบ้า ก่อนที่เขาจะหาเหตุผลขึ้นมาปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยใบหน้าแดงจัด
“ไม่มีทางหรอกครับ! คนนิสัยเลวทรามอย่างเขาไม่มีทางมาชอบผมหรอก!”
“พูดแบบนั้นมันก็แรงไปนะ”
“เรื่องจริงทั้งนั้นครับ” คุโรโกะพูดอย่างเย็นชา
“แต่ฉันว่าเขาใจดีกับนายนะ ในบางครั้งน่ะ”
“คุณก็แค่คิดไปเองครับ” คุโรโกะพูดเสียงเรียบเจือความหงุดหงิด
“แต่นายก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีใช่ไหม”
“มะ...มันก็...” คุโรโกะเขินอาย มิโดริมะยิ้มกว้าง ก่อนจะเอามือกุมอก ทำท่าทางตกใจ
“โอ้ พระเจ้า! ไม่อยากจะเชื่อเลย หรือว่านายก็ชอบเขาด้วย”
“ไม่ใช่ครับ!!!”
มิโดริมะหัวเราะ ท่าทางที่ปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายนั่นทำให้เขารู้สึกว่าได้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังมากที่สุดในรอบปี แต่เพราะว่ายิ่งหัวเราะ คุโรโกะก็ยิ่งไม่ชอบใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจฟังเขาเลยสักนิด คนน่ารักจึงตะโกนต่อว่าปาวๆ ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยที่คุโรโกะไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเผลอยิ้มออกมา ความโกรธที่ไม่ได้จริงจังช่วยปัดความเสียใจเรื่องถูกข่มขืนไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าเรื่องโหดร้ายนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...
ทว่าคนทั้งสองไม่ทันได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ว่ามีใครบางคนกำลังแอบดูพวกเขาทั้งสองอยู่จากช่องแคบของประตูที่เปิดแง้มไว้น้อยๆ
อาคาชิแอบมองคนทั้งสองด้วยความหงุดหงิดระคนมีความสุข รู้สึกแอบดีใจเล็กน้อยที่คนตัวเล็กกลับมาร่าเริงเหมือนปกติภายในเวลาไม่นาน แต่อีกใจก็รู้สึกหงุดหงิดที่คุโรโกะไปหัวเราะร่ากับมิโดริมะแบบนั้น  ไอ้หน้าตาน่ารักๆนั่นน่ะหัดหวงซะบ้างสิ  เคยสำนึกบ้างไหมว่าหน้าตาหวานๆ กับรอยยิ้มของตัวเองมันฆ่าคนตายได้น่ะ!
เดี๋ยวก่อน...แล้วเขาจะไปโกรธเรื่องนั้นทำไมเนี่ย?
อาคาชิสบถอย่างลืมตัว ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจ้องดอกกุหลาบสีแดงในมือที่ตั้งใจจะเอามา...
“...”
แต่พอมาลองย้อนคิดดูอีกที ทำไมเขาจะต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ให้เสียเวลาด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นอาคาชิก็เผาดอกกุหลาบในมือให้เละเป็นจุณ จากกลีบสีแดงสดสวยค่อยๆ ถูกแผดเผากลายเป็นกลีบดอกสีดำเมี่ยม ก้านสีเขียวสดผลันค่อยๆ กลายเป็นเถ้าถุลี แล้วร่วงโรยลงไปทับถมบนพื้น กลายเป็นแค่เพียงกองขี้เถ้าไร้ค่า
อาคาชิก้าวเท้าเดินไปทางอื่น โดยพยายามลงน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุดจะได้ไม่เกิดเสียงดังพอให้คนข้างในรู้ตัว  ใบหน้าได้รูปนิ่งเรียบอย่างครุ่นคิด  ทำไมตัวเองจะต้องทำถึงขนาดนี้เพื่อคนที่ไม่เห็นค่าด้วย  ทำไมต้องปล่อยให้ตัวเองหลงละเมอไปกับความรู้สึกชั่ววูบนั่นได้
...อย่าให้ความรู้สึกมาทำให้เสียงานสิเซย์จูโร่...
อาคาชิพึมพำกับตัวเองในใจ  ทั้งที่สิ่งที่เขาคิดมันคือสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมสีหน้าของเขาถึงได้เหมือนกำลังเจ็บปวดอยู่...
...
...
...
ตลอดเวลาที่อยู่ที่คฤหาสน์นั้นคุโรโกะพยายามหลบหน้าอาโอมิเนะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งมันช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกินที่อีกฝ่ายหายหน้าหายตาไปไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเขาไม่คิดจะสนใจหรอก
คนแบบนั้นจะไปตายที่ไหนก็ช่างหัวมันสิ... 
คุโรโกะไปเรียนหนังสือตามปกติในเวลาต่อมา ยาของมิโดริมะได้ผลดีมากจนน่าตกใจ เขาไม่รู้สึกเจ็บที่ช่องทางเลยแม้แต่นิดเดียว แผลรอยช้ำต่างๆ ก็หายอย่างเป็นปลิดทิ้ง  ทำให้ตัวเขาสามารถเดินฉิวไปไหนต่อไหนได้อย่างปกติ ส่วนบาดแผลทางใจนั้น....แน่นอนว่ามันยังคงไม่หายดี แต่เพราะนิสัยการไม่เก็บเรื่องแย่ๆ มาคิดคือข้อดีของคุโรโกะ บวกกับการเอาใจใส่ของพวกคิเสะที่พยายามทำให้เขาร่าเริงด้วยแล้ว  ทำให้สภาพจิตใจของเขาค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ  และกลับมาเป็นคุโรโกะคนเดิมที่มีแต่รอยยิ้มน่ารักภายในเวลาไม่นาน
ทันทีที่มาถึงห้องเรียน คุโรโกะก็เดินตรงไปนั่งประจำที่ตัวเองโดยไม่สนใจใครอื่น และแน่นอนว่าก็ไม่มีใครสนใจคนจืดจางอย่างเขาเช่นกัน  เอาเถอะ ก็ดีแล้วล่ะ  สังคมโรงเรียนชายล้วนผู้ดีแบบนี้ ถ้าให้เลือกเขาก็ไม่อยากเข้าไปคลุกคลีนักหรอกถ้าไม่จำเป็น  แค่ตัวเขาพยายามไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนก็ลำบากมากพอแล้ว...
เมื่อวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ คนตัวเล็กก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แสงแดดอ่อนๆ ลอดผ่านหน้าต่างมาตกกระทบลงบนใบหน้า พร้อมกลิ่นดอกไม้ที่โชยมาแตะจมูก  ดวงตาสีฟ้ากลมโตชำเลืองสายตามองไปรอบห้องด้วความรู้สึกแปลกประหลาดในอก 
ดูผิวเผินทั้งเขาและเพื่อนร่วมห้อง ต่างคนต่างปกติดีในสายตาของกันและกัน ทั้งที่ความจริงตัวเขานั้นไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว...  ถึงกระนั้นเขากลับต้องมาเรียนหนังสือปกติกับคนพวกนี้โดยที่ทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น   ทำให้อดไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ข้างในลึกๆ 
“ฮานามิคุง คือว่า...อ๊ะ”
ครั้นตั้งใจจะหันหน้าไปหาฮานามิยะเพื่อขอคำปรึกษา  เขาก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าโต๊ะนักเรียนข้างๆ นั้นว่างเปล่า คุโรโกะหันไปมองรอบๆ ห้องเพื่อหาเจ้าตัวแต่ว่าก็ไม่เจอ พอก้มลงดูนาฬิกาก็เห็นว่าใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว 
“ฮานามิยะคุงไม่ใช่คนมาสายนี่นา” คุโรโกะเริ่มมองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย “หรือว่าวันนี้จะหยุดเรียน...”
ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ...คุโรโกะคิดในใจ  เขาพ่นลมหายใจออกจมูก แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะดังปั้ก ไม่อยากจะเชื่อว่าการมาเรียนของเขาในรอบหลายวันนี้จะต้องเรียนอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีเพื่อน แล้วมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ...
“เอายังไงดีนะ...” เขาหยิบมือถือขึ้นมา เปิดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอลองมาย้อนนึกดูดีๆ แล้ว เขาก็ยังไม่ได้เมมเบอร์กับอีเมล์ของฮานามิยะไว้เลยนี่นะ
คุโรโกะเหม่อมองไปรอบตัวอย่างเหงาหงอย เขานั่งคิดกับตัวเองสักพัก แล้วอยู่ๆ คนตัวเล็กก็ลุกขึ้นยืน แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ  และด้วยความเป็นคนเงาจาง ทำให้แทบไม่มีใครสังเกตเห็นคุโรโกะเลยแม้แต่คนเดียว
...
...
...
คุโรโกะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องสมุดเก่า เขาแหงนหน้ามองป้ายห้องสมุดด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก หัวคิ้วเรียวโก่งเข้าหากันเล็กน้อยบนสีหน้าลำบากใจ ไม่รู้ว่าการโดดเรียนครั้งแรกในชีวิตนี้เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า แต่นอกจากสถานที่นี้แล้ว เขาก็คิดที่อื่นที่อยากไปไม่ออกเลย 
ใช้เวลารวบรวมความกล้าอยู่นาน ในที่สุดคุโรโกะก็ตัดสินใจยื่นมือไปเคาะประตู
“ขออนุญาตนะครับ” 
เขาเปิดประตู และเดินเข้าไปข้างใน สภาพของห้องสมุดเก่าดูดีขึ้นมาก ตามผนังและกำแพงไม่มีฝุ่นจับแล้ว ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านดี แต่ก็ยังคงได้กลิ่นกระดาษเฉพาะของกระดาษเก่าๆ และกลิ่นหมึกลอยมาแตะจมูก  คุโรโกะชำเลืองสายตามองไปรอบกาย ก่อนที่เขาจะเผลอยิ้มกว้างออกมาด้วยความสุขเมื่อมองเห็นใครบางคนอันคุ้นตายืนอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือ 
“มาจริงๆ ด้วยหรอเนี่ย”
มายุสุมิเอ่ยเสียงทุ้มเมื่อสังเกตเห็นคุโรโกะจากหางตา แววตาของเขาเฉยเมยและเป็นสีเทาหม่นเหมือนกับทุกที  แม้คำพูดอาจจะดูเหมือนรำคาญ แต่คนตัวเล็กสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าแวบหนึ่งบนใบหน้าเฉยชาของอีกฝ่ายนั้นกำลังดีใจอยู่
เขาวางหนังสือลงชั้นก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะ  คนตัวเล็กไม่รอช้า รีบหย่อนกายนั่งลงตรงข้ามทันที
“โดดเรียนแบบนี้เป็นเด็กไม่ดีเลยนะ”
“คุณเองก็ด้วยแหละครับ”
“แต่ฉันโตแล้ว ส่วนนายไม่”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างตำหนิ ดวงตาคมอันเย็นชาจ้องมองคนตัวเล็กเหมือนกำลังดุ  คุโรโกะยิ้มเจื่อน ก่อนจะเลี่ยงสายตาหนีไปทางอื่น
“แล้ว...” มายุสุมิพูด “มีเรื่องอะไรล่ะ?”
“เอ๊ะ...”
คนตัวเล็กมองหน้าอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ ประหนึ่งว่ากำลังเอ่ยถามด้วยสายตาว่ารู้ได้ยังไง  มายุสุมิยิ้มเล็กๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าดวงตาสีเทาคู่นั้นยามมองมาที่เขาช่างอบอุ่นเหลือเกิน
“นายไม่ใช่คนที่เดายากขนาดนั้นหรอก” เขาพูดเสียงอ่อนโยน “แค่ฉันมองหน้านายฉันก็รู้แล้วว่านายกำลังคิดอะไรอยู่?”
คุโรโกะเอียงคอ “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ?”
“นั่นสินะ” วินาทีนั้นดวงตาสีเทาหม่นจ้องมองเขาอย่างอบอุ่น ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มบางๆ “นายกำลังถามว่าเพราะอะไรหน้าของนายถึงดูออกง่ายอย่างนั้นหรอ?”
“มะ...ไม่ใช่ครับ” คุโรโกะส่ายมือปฏิเสธเบาๆ “ที่ผมอยากรู้...คือทำไมแค่คุณมองหน้าผมแล้วคุณรู้ล่ะครับว่าผมคิดอะไรอยู่”
“เรื่องนั้น...”
ทันใดนั้นมายุสุมิก็ยื่นมือมาหาเขาอย่างอ้อยอิ่ง คุโรโกะนั่งเกร็งพร้อมหัวใจที่เต้นตึกตัก ในใจสงสัยเล็กๆว่าคนร่างสูงคิดจะทำอะไร  พวงแก้มขาวเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ มายุสุมิยิ้มเล็กๆ และก่อนที่คุโรโกะจะทันได้รู้สึกตัวมายุสุมิก็ยื่นมือไปบีบที่จมูกเขาอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนั้นเป็นความลับนะ” ว่าแล้วก็ออกแรงบีบเบาๆ
“อื้อ!”
ร่างบางร้องเสียงหลงอย่างหายใจไม่ออก ในขณะที่มายุสุมิแอบหัวเราะกับตัวเองด้วยความขำขัน คุโรโกะตีแขนอีกฝ่ายดังแปะๆ เป็นเชิงบอกให้ปล่อย
“ปล่อยนะครับ”
คุโรโกะร้องบอกเสียงอู้อี้ และด้วยความสงสารผสมความเอ็นดู มายุสุมิจึงยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระตามคำขอ  ครั้นเป็นอิสระ คุโรโกะก็ลูบจมูกตัวเองเบาๆ ด้วยใบหน้างอ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะตวัดสายตามองคนตรงข้ามด้วยอย่างไม่พอใจ
“อยู่ๆ ทำอะไรน่ะครับ ตกใจหมด”
“ก็เป็นการลงโทษที่นายถามอะไรน่าโมโหยังไงล่ะ” ดวงตาเฉยเมยมีแววประกายซุกซนหน่อยๆ
คุโรโกะทำแก้มป่อง “น่าโมโหยังไงครับ”
ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างเศร้าๆ
“นายเคยถามฉันว่า ‘เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า’ สินะ”
“ก็ใช่คำ” คุโรโกะตอบเบาๆ
“ฉันกลับไปย้อนคิดดูแล้ว บางทีเรื่องที่นายพูดอาจจะเป็นความจริงก็ได้  บางที...เราอาจจะรู้จักกันมาก่อนก็ได้”
เมื่อได้ยินดังนั้นคุโรโกะก็ดวงตาเบิกกว้าง
“จริงหรอครับ! ถ้าอย่างนั้น...”
“แต่ฉันไม่อยากให้นายตั้งความหวังมากนะ”
มายุสุมิพูดขัดอย่างหวังดี แม้จะทำให้คุโรโกะจ๋อยไปก็ตาม เขามองคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากด้วยความละเหี่ยใจ
“ทั้งเรื่องที่ฉันแค่มองหน้านายฉันก็รู้แล้วว่านายกำลังคิดอะไร และเรื่องที่แอบโกรธที่นายถามว่าฉันรู้ได้ไง” คนร่างสูงยิ้ม “ถ้านายจำเรื่องที่ฉันบีบจมูกนายได้ว่ามันมีความสำคัญยังไง นายก็จะรู้เองว่ามันหมายความถึงอะไร...”
พอได้ฟังดังนั้นแล้วคุโรโกะก็ยกมือขึ้นมาสัมผัสสันจมูกตัวเองอย่างแผ่วเบา  และเริ่มคิดตามคำพูดของมายุสุมิ  ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจถึงความหมายของมันแถมยังนึกไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร  แต่ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดที่เขารู้ก็คือ...
ความรู้สึกผูกพันธุ์ที่เขามีต่อผู้ชายคนนี้เป็นของจริง
 “แล้วตกลงนายจะไม่บอกฉันใช่ไหมว่าเป็นอะไร”
 คนตัวเล็กถึงกับชะงักเมื่มายุสุมิวนมาถามคำถามเดิมที่เคยถามค้างไว้ คุโรโกะยิ้มเจื่อนอย่างลำบากใจ  ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอก แต่ว่าเรื่องบางเรื่องเราก็คงพูดมันออกมาไม่ได้...
 “จะว่ายังไงดีล่ะครับ...” คุโรโกะเริ่มด้วยแววตาเศร้า “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดดีนะครับ เมื่อเราถูกหักหลังโดยคนที่เราเชื่อใจ”
 คุโรโกะเหม่อมองไปไกล ขณะที่มายุสุมิฟังเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
 “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งครับ” คุโรโกะเล่าต่อ “เราไม่ถูกกันในช่วงแรกๆ แต่สักพักเราก็สนิทกันดีครับ แต่ว่า...”
 คุโรโกะเม้มปากแน่น พลางสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้ง
 “ผมไม่คิดเลยว่าหลังจากนั้นเขาจะหักหลังผมอย่างโหดร้าย...”
 “...”
 “รู้สึกเจ็บพิลึกนะครับ ที่คนที่เข้ามาหาเรา มาสนิทกับเรา  ความจริงแล้วเขาหวังกับเราแค่เรื่องร่างกายเท่านั้น”
 “...”
 “ความรักเนี่ยน่ากลัวจังเลยนะครับ”
 คนตัวเล็กยิ้มอย่างฝืนๆ ก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังน้ำตาคลอ เขาหันหน้าไปทางอื่น พลางกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดอย่างเร่งรีบ
 “แปลกจัง ทำความสะอาดแล้วแท้ๆ แต่ฝุ่นยังเยอะอยู่เลยนะครับ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นราวกับจะให้น้ำตาย้อนไหลกลับไป
 มายุสุมิมองการแก้ตัวที่ไม่เนียนของคุโรโกะด้วยสายตานิ่งเรียบ เขาตัดสินใจที่จะไม่ถาม เพราะดูแล้วคนตัวเล็กคงไม่พร้อมที่จะตอบในตอนนี้
 “แล้วนายไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วหรอ?”
 “เพื่อนคนอื่น...” คุโรโกะทวนคำ
 “ใช่” ริมฝีปากบางยกยิ้ม “เพื่อนที่รักนายและนายก็รักเขา เพื่อนที่ไว้ใจได้ เพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างนายเสมอไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์”
 “...”
 “เพื่อนแบบนั้น...นายมีหรือเปล่า?”
 แทบจะทันทีที่ใบหน้าของโองิวาระลอยเข้ามาในหัวของคุโรโกะ ทั้งรอยยิ้มสดใสกับดวงตาสีช็อกโกแลตอันอบอุ่น ทว่าใบหน้าอันร่าเริงนั้นกลับถูกทับซ้อนด้วยใบหน้าอื่นในฉับพลัน  กลายเป็นภาพของโองิวาระที่มีแต่ความเจ็บปวดและบาดแผลยามที่อีกฝ่ายมองเขาที่กำลังโดนอาโอมิเนะ...
 วินาทีนั้นคุโรโกะกำหมัดแน่น เรียวฟันขาวกัดริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างขมขื่น
 “มีสิครับเพื่อนแบบนั้น” คุโรโกะตอบเสียงเบา “แต่ว่า...”
 “หืม มีอะไรงั้นหรอ?”
 คุโรโกะหัวเราะอย่างฝืดๆ “คือว่าเราทะเลาะกันนิดหน่อยน่ะครับ”
 จนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าโองิวาระเป็นยังไงบ้าง ในคืนนั้นไม่รู้ว่าอาโอมิเนะทำอะไรลงไปบ้าง เขาพยายามติดต่อโองิวาระ แต่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่รับสายจากเขาเลย แถมยังบล็อกเขาอีกต่างหาก  บางส่วนในใจคุโรโกะบอกตัวเองว่าโองิวาระคงโกรธเขาและไม่อยากกลับมาเป็นเพื่อนกับเขาแล้วล่ะ  แต่ว่าอย่างน้อยเขาก็อยากแก้ความผิดใจระหว่างกัน... อยากจะขอโทษ อยากจะพูดคุยกันอีกสักครั้ง  แค่สักครั้งก็ยังดี...
 “ทะเลาะกันแรงอย่างนั้นหรอ?” มายุสุมิถาม
 คุโรโกะยิ้มเศร้าๆ ดวงตากลมโตมองมือทั้งสองที่ประสานเข้าหากัน “รุนแรงมากเลยล่ะครับ แรงมากจนผมคิดว่า...เขาคงไม่อยากคบผมอีกแล้ว”
 เมื่อได้ยินแบบนั้น อยู่ๆ มายุสุมิก็ยื่นมือมาสัมผัสที่ปลายคางของเขา  พลางออกแรงจับให้เงยขึ้นอย่างอ่อนโยน
 “อย่าเพิ่งด่วนสรุปแบบนั้นสิ” ร่างสูงเอ่ยแกมดุ
 “ก็มัน...” คุโรโกะมองตาอีกฝ่ายอย่างลำบากใจ
 “ฉันถามนายว่านายเพื่อนที่รักนายและนายก็รักเขา เพื่อนที่ไว้ใจได้ เพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างนายเสมอไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์ เพื่อนแบบนั้นนายมีหรือเปล่า ฉันถามแบบนั้นไปใช่ไหม?”
 “ครับ...”
 “แล้วนายก็ตอบว่าใช่ ซึ่งก็คือคนนี้ใช่ไหม?”
 “ครับ...” คุโรโกะตอบเสียงเบา
 “เพราะแบบนั้น...” มายุสุมิพูดต่อ “เพื่อนคนนั้นเป็นคนสำคัญสำหรับนาย”
 “...”
 “คนที่เห็นความสำคัญของนายมากขนาดนั้น ไม่มีทางที่เขาจะเลิกคบนายเพียงเพราะแค่การทะเลาะกันหรอก
 วินาทีนั้นคนร่างบางเงยหน้ามองมายุสุมิด้วยสายตาอึ้งๆ อีกฝ่ายยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ในขณะที่ฝ่ามืแข็งแรงลูบไล้แก้มเขาอย่างปลอบประโลม
 “ลองไปคุยกับเขาดูอีกครั้ง ปรับความเข้าใจกันซะ”
 “...”
 “บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็ยากจะรับไว้ แต่ฉันเชื่อว่าเขาเพียงแค่ต้องการเวลาสักระยะเพื่อทำความเข้าใจ และเมื่อถึงเวลานั้น...” 
“...”
 “ลองไปคุยกับเขาดูนะ”
 คุโรโกะมองรอยยิ้มดุจแสงอาทิตย์ของมายุสุมิด้วยความอบอุ่นในหัวใจ บนคำพูดนั้นมีพลังบางอย่างที่ช่วยมอบความกล้าให้แก่เขา มันทำให้เขาได้คิดอะไรหลายๆอย่าง และทำให้เขาตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
 คุโรโกะคลี่ยิ้มเล็กๆ อย่างมีความหวัง ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน
 “ขอโทษนะครับคุณมายุสุมิ คือว่าผมมีธุระ” คุโรโกะเอ่ยอย่างรู้สึกผิด ในขณะทีคว้ากระเป๋ามาไว้ในอ้อมแขน 
 คนร่างสูงส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา ก่อนจะยกยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจ “ไปเถอะ แต่ว่าขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?”
 “ได้สิครับ อะไรหรอ?”
 คุโรโกะพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น และรอคอยฟังอย่างตั้งใจว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร  มายุสุมิคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะมองสบเข้าไปในดวงตาสีฟ้าครามของคุโรโกะ และไม่รู้ทำไม...คุโรโกะถึงได้รู้สึกว่าแววตานั้นมันช่างเต็มไปด้วยความเศร้าและความถวิลหาอย่างบอกไม่ถูก...
 “ถ้านายมีเวลาล่ะก็...” มายุสุมิยิ้มฝืดๆ “ช่วยแวะมาหาฉันบ้างได้ไหม?”
 เมื่อได้ยินดังนั้นคุโรโกะก็อึ้งไปชั่วครู่  ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มหวานก็ขึ้นมาปรากฎบนใบหน้าแทน ร่างบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ก่อนจะพยักหน้ารับเพื่อให้คำมั่นสัญญา
 รอยยิ้มของคุโรโกะทำให้มายุสุมิรู้สึกคลายกังวล เขายิ้มกับตัวเองอย่างโล่งใจ ในขณะที่คุโรโกะโบกมือลาเขาก่อนจะเดินจากไปในที่สุด   ดวงตาสีเทาหม่นมองบานประตูด้วยหัวใจอันว้าเหว่  ทั้งที่คนที่เขารักที่สุดอยู่ใกล้แค่นี้ ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนเราช่างอยู่ห่างกันอย่างไกลแสนไกล  เมื่อไรที่ช่วงเวลานี้มันจะจบลง  จะต้องทนทรมานแบบนี้อีกนานแค่ไหน  จะต้องทนเก็บความลับนี้อีกนานเท่าใด  แล้วเมื่อไรเวลาที่จะได้บอกความจริงแก่คุโรโกะจะมาถึง...
 “ได้โปรดเถอะคุโรโกะ รู้สึกตัวสักทีสิ...”
 รู้ตัวสักทีว่าฉันเป็น...
 ช่างเป็นความในใจที่แผ่วเบา และเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวยามนึกถึงคำๆนั้น แต่ว่าคงจะไม่มีใครได้ยินมัน เว้นเสียจากตัวของมายุสุมิเอง...
...
...
...
คุโรโกะนั่งรถบัสมาลงที่เมืองข้างๆ เพื่อกลับมายังโรงเรียนเก่าที่ตัวเขาเคยเรียนอยู่ โดยก่อนหน้านั้นเขาก็ได้เดินเล่นไปพลางๆ ในตัวเมืองระหว่างรอให้เวลาเลิกเรียนดำเนินมาถึง  เมื่อถึงเวลาคุโรโกะจึงไปยืนรอโองิวาระหน้าโรงเรียน เพื่อที่จะได้คุยกันให้รู้เรื่องและปรับความเข้าใจกัน  โดยตลอดเวลาที่ยืนรออยู่นั้นก็มีนีกเรียนชายหญิงมากหน้าหลายตาเดินออกมาจากโรงเรียน สายตาหลายคู่หันมาจ้องมองเขาอย่างสนอกสนใจ  ไม่เชิงมองแบบนินทา แต่เหมือนมองแบบแอบๆด้วยความสงสัย  ทำให้คุโรโกะรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คนจืดจางอย่างเขาถูกจ้องมอง
 แล้วในที่สุดเขาก็ร้องอ้อขึ้นมาเล็กๆ เมื่อจับสังเกตสายตาเหล่านั้นได้ว่ากำลังจ้องมองอะไรอยู่  คุโรโกะก้มลงมองเครื่องแบบของตัวเองที่เป็นแบบสูทผูกเนคไทเหมือนพวกลูกคุณหนูจากโรงเรียนเอกชน ในขณะที่เครี่องแบบของโรงเรียนนี้จะเป็นชุดนักเรียนธรรมดาทั่วไปของโรงเรียนรัฐ
 เครี่องแบบสะดุดตาแบบนี้จะเป็นที่น่าสนใจก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง...คุโรโกะคิดในใจ
 แม้จะถูกจ้องมอง แต่ก็เป็นสายตาที่ไม่มีพิษมีภัย เป็นเพียงแค่การจ้องมองด้วยความสนใจเท่านั้น  คุโรโกะจึงไม่ได้ถือสาอะไรพวกเขานัก  คนร่างบางยืนพิงกำแพงอย่างรอคอย พลางก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองเพื่อเลี่ยงการสบตากับคนอื่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการถูกมองแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกเขินอยู่นิดหน่อย
 คนตัวเล็กชะเง้อคอมองเข้าไปยังภายในโรงเรียน ดวงตาสีฟ้าครามสอดสายตามองหาโองิวาระ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็หาไม่เจอ มีความเป็นไปได้ว่าโองิวาระอาจจะยังไม่ออกมา จริงอยู่ว่ามันมีนักเรียนหลายคนเลยอาจจะหาตัวยากไปสักหน่อย แต่เขามั่นใจว่าเขาไม่มีทางหาเพื่อนสนิทของตัวเองไม่เจอหรอก สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
 เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดคุโรโกะก็เหมือนสังเกตเห็นเรือนผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตจากที่ไกลๆ ร่างบางเพ่งสายตามองสักพักอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่ร่างบางจะคลี่ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นคือโองิวาระไม่ผิดแน่  คุโรโกะเดินออกมายืนตรงหน้าประตูพลางโบกไม้โบกมือเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้สังเกตเห็นเขา
 แต่แล้วเมื่อโองิวาระเดินใกล้เข้ามา รอยยิ้มก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากบนใบหน้าของคุโรโกะ ฝ่ามือบางค่อยๆลดต่ำลง  คนร่างบางมองสภาพร่างกายของโองิวาระด้วยความช็อก  ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ  รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ ความอึดอัดอันน่าขยะแขยงแล่นเข้ามาในอกจนรู้สึกหายใจไม่ออก...
 ทั่วทั้งตัวของโองิวาระมีแต่บาดแผล แขนข้างขวาเข้าเฝือกด้วยผ้าพันแผล ส่วนขาข้างซ้ายก็เดินเป๋ๆเล็กน้อย  เหนือสิ่งอื่นใดที่ดึงสายตาของคุโรโกะมากที่สุดก็คือรอยแผลคล้ายกรงเล็บบนใบหน้า!
 คุโรโกะช็อกไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนเสียงหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ หัวใจพลันกระตุกวูบตกลงไปอยู่ตาตุ่ม  ทว่าบนใบหน้าที่เหมือจะทรมานของโองิวาระ เจ้าตัวกลับยิ้มร่าอย่างสดใสและร่าเริงคุยกับพวกเพื่อนๆ ราวกับว่าบาดแผลอันน่ารังเกียจนั่นไม่อาจดึงให้เขาต้องรู้สึกขุ่นมัวได้
 คุโรโกะรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล  จินตนาการไม่ออกเลยว่าโองิวาระจะต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานขนาดไหน  เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาโอมิเนะจะทำกับโองิวาระขนาดนี้  ทำได้ยังไง...ผู้ชายคนนั้นบังอาจทำกับเพื่อนรักของเขาแบบนี้ได้ยังไง!
 “เฮ้ โองิวาระ นั่นมัน...คุโรโกะไม่ใช่หรอ?”
 เพื่อนชายอีกคนหนึ่งเพ่งสายตามองคุโรโกะ เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจของโองิวาระก็พลันกระตุกวูบ  เขาหันควับไปมองตามนิ้วของเพื่อนที่ชี้ไปอย่างตื่นตระหนก  แล้วทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดเมื่อเห็นคุโรโกะยืนอยู่ตรงหน้าประตู
 ครั้นคนตัวเล็กสังเกตเห็นว่าโองิวาระกำลังมองมาทางนี้เขาจึงรีบฝืนยิ้ม แล้วโบกไม้โบกมือแสดงตัว แต่ทว่าอยู่ๆ โองิวาระก็หน้าซีดเผือด แล้วรีบหันหลังก่อนจะวิ่งหนีเขาไป
 “เอ๊ะ?”
 คุโรโกะยืนอึ้งชั่วครู่ด้วยความตกใจ ก่อนที่สัญชาตญาณจะร่ำร้องให้คุโรโกะรีบวิ่งตามไป คนตัวเล็กสาวเท้าตามโองิวาระไปอย่างกระชั้นชิด พลางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะตามคนขายาวกว่าให้ทัน แต่เมื่อโองิวาระหันมาเห็นว่าคุโรโกะกำลังวิ่งไล่หลังตามมา เจ้าตัวจึงยิ่งรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นไปอีก
 “ระ...รอก่อนครับโองิวาระคุง แฮ่ก...วิ่งหนีผมทำไมครับ” คุโรโกะตะโกนบอก
 แต่โองิวาระไม่รอ คนร่างสูงวิ่งซอกแซกไปตามช่องทางแคบๆ อย่างคล่องแคล่วว่องไว ก่อนจะวิ่งผ่านทางลัดไปสู่ประตูหลังโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีคนใช้  เมื่อออกมาถึงถนนใหญ่ที่ผู้คนบางตา โองิวาระก็เร่งฝีเท้าเต็มสปีดทันที ทำให้ระยะห่างระหว่างตัวเองกำลังคุโรโกะที่กำลังวิ่งไล่ตามค่อยๆ ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
 “โธ่ ขาก็เจ็บแท้ๆ ทำไมถึงวิ่งเร็วนักนะ แฮ่ก แฮ่ก...” คุโรโกะวิ่งไปบ่นไปอย่างหอบๆ แผ่นหลังของโองิวาระเริ่มค่อยๆ ไกลออกไป  คนร่างบางหอบแฮ่กๆ ด้วยความเหนื่อย ทั้งที่วิ่งตามมาแค่ไม่กี่กิโล แต่รู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจจนเหมือนปอดจะหลุด
 ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้คุโรโกะเหนื่อยหอบเร็วกว่าปกติ และเริ่มวิ่งช้าลงเรื่อยๆ ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างเหนื่อยหอบ  ดวงตากลมโตจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ไกลออกไป   รู้สึกปวดกล้ามเนื้อจนแทบจะวิ่งต่อไปไม่ไหว   ทว่าความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นริ้วเข้ามาในใจนั้นมาพร้อมกับพลังใจปริศนาที่เพิ่มพูน  คุโรโกะกัดฟันอย่างอดทน ก่อนจะกลั้นใจเร่งฝีเท้าวิ่งต่ออย่างไม่ยอมแพ้
 “โองิวาระคุง รอผมด้วยครับ!” คุโรโกะตะโกนบอกอย่างเหนื่อยหอบ พลังใจที่มากกว่าพลังกายทำให้คนตัวเล็กวิ่งเร็วมากขึ้น  โองิวาระที่ได้ยินเสียงคุโรโกะไล่หลังมา เหลียวหลังกลับไปมองอย่างตกใจ เขารู้ดีที่สุดว่าคุโรโกะเป็นคนอ่อนกีฬาและวิ่งได้เป็นลำดับสุดท้ายของห้องเสมอ  ไม่คิดว่าคนอ่อนแออย่างคุโรโกะจะอดทนวิ่งตามเขามาได้ขนาดนี้
แต่ว่า...
 “ขอโทษนะคุโรโกะ...” โองิวาระพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะ...
 “อ๊ะ!”
 โองิวาระวิ่งเข้าข้างทาง ก่อนจะสาวเท้าเร็วขึ้น คุโรโกะวิ่งตามไปอย่างไม่ลังเลเพราะเขารู้ว่าโองิวาระรู้จักทางลัดมากมายภายในเมืองนี้ที่สามารถทะลุไปอีกที่ได้  เมื่อวิ่งตามมาจนทันคุโรโกะถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าโองิวาระวิ่งเข้ามาในสนามเด็กเล่น  โองิวาระวิ่งผ่านชิงช้า  กระโดดข้ามปราสาททรายและไม้กระดกอย่างคล่องแคล่ว  คุโรโกะเหนื่อยหอบขณะวิ่งตามอย่างทุลักทุเล และทันใดนั้นอยู่ๆ  โองิวาระก็วิ่งมาสุดทางที่มีรั้วกั้นไว้ระหว่างสนามเด็กเล่นและถนนอีกเส้น
 “ฮึบ!”
 คนร่างสูงจับรั้วกั้นไว้ ก่อนจะกระโดดข้ามผ่านอย่างคล่องแคล่วลงไปสู่ฝั่งตรงข้ามอย่างสวยงาม  คุโรโกะที่วิ่งตามมาด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีไม่อาจหยุดเบรกกะทันหันได้  เขามองรั้วกั้นที่สูงเท่าอกเขาอย่างตื่นตระหนก แต่ตอนนี้เขาหยุดไม่ได้แล้ว! คุโรโกะจึงตัดสินใจจับรั้วกั้นไว้มั่นแล้วกระโดดข้ามขึ้นข้ามรั้วด้วยแรงทั้งหมดที่ตนมี!
ด้วยแรงปาฏิหาริย์ คุโรโกะสามาระกระโดดข้ามผ่านมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ จนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ แต่ทว่านั่นมันก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น
 ตึง!!!
 “โอ๊ย!”
 แม้ว่าจะกระโดดข้ามผ่านมาได้ แต่ด้วยช่วงขาที่ไม่ค่อยมีพละกำลังมาก ทำให้หน้าแข้งของคนร่างบางกระแทกเข้ากับรั้วกั้นเต็มๆ  คนตัวเล็กทำสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด  ความเจ็บและชาแล่นเข้ามาพร้อมเสียงร้องด้วยความความทรมาน
 คุโรโกะล้มลงมากระแทกกับพื้นก่อนจะนอนกองอยู่บนนั้นอย่างหมดสภาพ พลางสำลักฝุ่นที่เกาะอยู่ตามถนนดังแค่กๆ  คุโรโกะร้องครางด้วยความเจ็บในขณะที่ยังคงทรุดอยู่บนพื้น  โองิวาระที่ได้ยินเสียงคนร้องจากทางด้านหลังรีบหันกลับมามองทันที  ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเห้นสภาพของคุโรโกะ  เขาชะงักฝีเท้าของตัวเอง ก่อนจะรีบเปลี่ยนทิศทางกลับมาหาคนร่างเล็ก แต่แล้ว...
 “!”
 ทันใดนั้นเท้าทั้งสองข้างของคนร่างสูงก็หยุดกึก ภาพบางสิ่งบางอย่างแวบเข้ามาในหัว  เขากัดริมฝีปากตัวเองด้วยความทรมาน ก่อนจะกลั้นใจหันหลังกลับ แล้วรีบออกวิ่งไปทันทีโดยไม่หันกลับมาสนใจคุโรโกะอีกเลย
 สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทำให้หัวใจของคุโรโกะรู้สึกปวดร้าว แผ่นหลังของโองิวาระค่อยๆ ไกลออกไปก่อนจะหายลับไปในที่สุด การปฏิบัติอย่างเย็นชาที่ไร้ความห่วงใยอย่างทุกทีของโองิวาระทำให้คุโรโกะรู้สึกเสียใจจนพูดไม่ออก  ทั้งวิ่งหนีเขา  ทั้งเมินเขา  ทำไมเรื่องมันถึงได้กลายมาเป็นแบบนิ้...
 คนร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล  คุโรโกะครางออกมาเล็กๆ ด้วยความเจ็บ  มือบางลูบหน้าแข้งตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บ  รู้สึกปวดแปลบๆ แต่ว่ายังพอเดินไหวอยู่
 ใบหน้าหวานแหงนหน้ามองไปรอบกายก็พบว่านี่เป็นถนนอีกเส้นของตัวเมือง คุโรโกะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ถ้าหากพึ่งการถามทาง และป้ายบอกทาง เขาก็สามารถไปถึงสถานีรถรถไฟฟ้าได้อย่างไม่ยาก  แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง...เขาไม่รู้สึกอยากกลับเลย
 คุโรโกะตัดสินใจเดินเล่นไปในเมืองที่ตัวเขาไม่รู้จัก และไม่รู้แม้กระทั่งเส้นทาง แต่ตอนนี้เขาต้องการเวลาอยู่คนเดียว ต้องการเวลาคิดทบทวนกับตัวเองสักพักว่าตกลงแล้วอะไรกันแน่ที่มันผิดพลาดไป...
 ภาพของโองิวาระที่วิ่งหนีเขายังคงตราตรึงอยู่ในหัว ทั้งสีหน้าและแววตาที่มองมาที่ตัวเขานั้นเหมือนไม่ใช่โองิวาระคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก  มันเหมือนมีแต่ความกลัว...กลัวอะไรบางอย่างที่ตัวเขาไม่รู้   แต่ถึงกระนั้นคุโรโกะก็อดที่จะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาไม่ได้  ยิ่งเขานึกถึงตอนที่โองิวาระวิ่งหนีเขาไปโดยไม่หันมาช่วย ยิ่งคิดถึงภาพนั้นมากเท่าไรเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ  ในตอนแรกนั้นเขาก็คิดไว้แล้วว่าบางทีโองิวาระอาจจะโกรธเขาและรู้สึกไม่อยากจะกลับมาเป็นเพื่อนกับเขาอีกต่อไปแล้ว...
 แต่ว่า...
 พอได้ยินคำพูดของมายุสุมิ ไม่รู้อะไรมันดลใจให้เขารู้สึกมีความกล้าอยากจะคุยกับโองิวาระขึ้นมา  คิดว่าถ้าได้ปรับความเข้าใจกันอีกสักครั้ง ความสัมพันธุ์ระหว่างเรามันคงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
 แต่ทว่าสุดท้ายแล้วนั่นมันก็เป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี...
 ...นี่เขาจะต้องกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้งอย่างนั้นหรอ...
 ทันใดนั้นเองขอบตาของคุโรโกะก็ร้อนผ่าว ก่อนที่หยาดน้ำตาจะค่อยๆ ไหลรินออกมาอย่างเงียบงัน  คนตัวเล็กสะดุ้งออกมาน้อยๆ กับความรู้สึกอันปวดร้าวของตน  เขากระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา พลางยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้สะอาด แต่ว่าไม่ว่าจะพยายามเช็ดเท่าไรน้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที
 สำหรับเขาโองิวาระคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ยอมรับเขา ตัวเขาที่จืดจางมาโดยตลอด ไม่มีใครอยากจะคบหา โองิวาระคือคนเดียวที่เห็นความสำคัญของเขาและยอมนับเขาเป็นเพื่อน  สำหรับใครหลายคนมันอาจไม่สำคัญ  แต่ว่าสำหรับเขา...สำหรับคนที่ไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนอย่างเขา  มันคือสิ่งสำคัญที่คนอื่นไม่มีทางเข้าใจ...
 สุดท้ายคุโรโกะก็ไม่สามารถอดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ได้ คนร่างบางสะอึกสะอื้นยกใหญ่กับตัวเอง พลางก้มหน้านิ่งร้องไห้กับตัวเองอย่างเงียบๆ น้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบใบหน้าจนเปียกแฉะ เขาคิดว่าเขาพร่ำบอกตัวเองอยู่หลายครั้งว่าให้ตัวเองเข้มแข็ง และต้องไม่ร้องไห้เป็นเด็กๆเหมือนคนอ่อนแอ  แต่ว่าด้วยเรื่องราวอันน่าเจ็บปวดต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา มันก็ทำให้เขาสุดจะอดทนไหวแล้วจริงๆ
 ...ตัวเขาเหลือใครบ้าง ครอบครัวหรอ? พี่ชายหรอ? เขาไม่เหลือแล้วคนเหล่านั้น คนที่ห่วงเขา คนที่รักเขาจากใจ เขายังมีคนเหล่านั้นเหลืออยู่อีกหรอ...
 “Excues me”
(ขอโทษนะครับ)
 ทันใดนั้นเองก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินมาหาคุโรโกะ คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองแบบขอไปที  ผู้ชายชาวต่างชาติคนนั้นมีผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้าอมเขียว เขาใส่เสื้อกล้ามและกางเกงสามส่วน  เขาสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่พร้อมแผนที่ในมือ ดูโดยรวมแล้วเขาก็เหมือนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไปที่ต้องการถามทาง
 คุโรโกะกระพริบตาปริบๆ ทั้งน้ำตา แอบสงสัยในใจว่าทำไมนักท่องเที่ยวจะต้องมาถามทางคนที่กำลังร้องไห้อย่างเขา แต่เมื่อหันไปมองรอบๆ เขาก็ไม่เห็นใครที่ว่างพอจะตอบคำถามผู้ชายคนนี้ได้เลย
 ชายต่างชาติคนนั้นมีท่าทางกระอักกระอ่วนใจ เขามองดวงตาบวมแดงที่ยังคงมีน้ำตาเอ่อคลอของคุโรโกะด้วยความลำบากใจ คุโรโกะยิ้มให้นิดหน่อยทั้งน้ำตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายต่างชาติคนนั้นจึงตอบสนองเขาด้วยการแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นซะ
 “Do you know where the railway station?”
(คุณพอจะรู้ไหมว่าสถานีรถไฟอยู่ที่ไหน?)
 “อะ...เอ่อ...”
 คุโรโกะอ้ำอึ้ง จริงอยู่ว่าเขาพอจะรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนแปลกถิ่นเหมือนกัน และบวกกับที่ตัวเขายังคงสะอึกสะอื้นอยู่ ทำให้คุโรโกะไม่สามารถตอบออกไปได้ดั่งใจคิด
 “ค...คือว่า”
 ทันใดนั้นเอง...
 “อ๊ะ!”
 จากแสงสว่างเริ่มกลายเป็นความมืดพร้อมความอบอุ่นที่สัมผัสลงบนดวงตาของเขา  คุโรโกะร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะยื่นมือขึ้นมาแตะดวงตาของตัวเองอย่างสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพตรงหน้ามืดลง  ทว่าสิ่งที่ปลายนิ้วของเขาได้แตะลงไปนั้นกลับไม่ใช่ดวงตาของตัวเอง  แต่กลับเป็นฝ่ามือหนาแข็งแรงของใครบางคนที่กำลังปิดตาเขาไว้อยู่...
 “เอ๊ะ...”
 ความอบอุ่นอันคุ้นชินและกลิ่นของน้ำหอมอันคุ้นเคย ทำให้น้ำตาที่เคยหยุดไหลไปแล้วพลันกลับมาไหลเอาดื้อๆอีกครั้ง  คนตัวเล็กสะอึกสะอื้นเบาๆ ในขณะที่ยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นมาแตะฝ่ามือแข็งแรงข้างนั้นไว้ หัวใจที่เคยเจ็บปวดรวดร้าวค่อยๆ ถูกเยียวยาทีล่ะน้อยโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม...
 “It’s next to the convenience stores”
(มันอยู่ถัดจากร้านสะดวกซื้อ)
 บุคคลปริศนาคนนั้นตอบชายต่างชาติไป...
“Can I get there by bus?”
(แล้วผมสามารถไปที่นั่นด้วยรถเมล์ได้ไหม)
 “It’s not very far from here. You can walk , it take 20 minutes”
(ไม่ไกลเท่าไหร่ คุณเดินไปก็ได้ แค่20นาทีเอง)
 “Which way?”
(ทางไหนครับ)
 “Straight down that way”
(ตรงไปทางนั้น)
 “Oh thanks”
(โอ้ ขอบคุณนะครับ)
 จากนั้นเสียงพูดคุยก็เงียบไปสักพัก คุโรโกะได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้ชายต่างชาติคนนั้นค่อยๆ ไกลออกไป... ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคน...
 “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเขาพร้อมกับฝ่ามือแข็งแรงที่ปล่อยให้ดวงตาของเขาเป็นอิสระอย่างเชื่องช้า
 คุโรโกะสะอึกสะอื้น รู้สึกว่ามีคำพูดมากมายที่เขาต้องการบอก แต่ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงไม่สามารถอ้าปากพูดออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว
 ผู้ชายคนนั้นมองคุโรโกะด้วยแววตาสงสารระคนเอ็นดู ก่อนที่เขาจะจับร่างผอมบางให้หันมาสบตาเขา ปลายนิ้วแข็งแรงเชยปลายคางมนขึ้น  ทำให้ดวงตากลมโตสีฟ้าครามสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าเข้ม ไม่รู้ทำไม...แต่พอคุโรโกะได้เห็นใบหน้าของผู้ชายคนนี้ เขาก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของตัวเองได้เลย...
 “ร้องไห้อีกแล้วนะเด็กดี...” เสียงนุ่มทุ้มลึกเอ่ยด้วยความห่วงใย พลางใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยน้ำตาให้เขาอย่างแผ่วเบา
 “ฮึก...แล้วคิดว่าที่ผมร้องมันเป็นเพราะใครล่ะครับ...” เด็กน้อยพูดเสียงสะอื้น
 คนร่างสูงยิ้มบาง “ขอโทษนะที่ทำให้ต้องร้องไห้”
 “หะ...หายไปอยู่ไหนมาครับ ฮึก...คนใจร้าย...”
 “ขอโทษนะที่ทิ้งให้อยู่คนเดียว...”
 ผู้ชายคนนั้นมองใบหน้าของเขาด้วยแววตารักใคร่ และกว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไร ผู้ชายคนนั้นก็ค่อยๆ ประคองแก้มทั้งสองข้างของเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะโน้มหน้าลงมาหาริมฝีปากของเขาอย่างเชื่องช้า  คุโรโกะหลับตาลงอย่างรู้ใจ สิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นมีเพียงแค่ปลายนิ้วเย็นเยียบที่สัมผัสบนแก้มอันร้อนผ่าวของเขา
 คนร่างสูงประทับริมฝีปากของตนลงบนกลีบปากนุ่มของเขาอย่างแผ่วเบา รสจูบแสนอ่อนโยนที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานทำให้หัวใจของเขาเต้นตึกตักด้วยความหวั่นไหว  อีกฝ่ายนั้นประทับริมฝีปากลงมาซ้ำๆ ประหนึ่งตีตราความเป็นเจ้าของ ทว่ากลับไม่ได้จูบเขาด้วยสัมผัสรุนแรงนัก แต่ทุกครั้งที่ริมฝีปากบดขยี้ลงบมามันก็ให้เขารู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกาย มันช่างแสนเร่าร้อนและเย้ายวนเกินจะเอ่ยถึง   คุโรโกะไม่ได้ตอบสนองผู้ชายคนนี้มากนัก ลิ้นที่สอดเข้ามาในโพรงปากเกี่ยวตวัดกับลิ้นของเขาอย่างชำนาญ ราวกับจะชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้จูบเขาให้สาสมใจ  คุโรโกะเพียงแค่หลับตาปล่อยให้อีกฝ่ายดื่มด่ำริมฝีปากเขาต่อตามใจปรารถนา
 คนร่างสูงโอบกอดเขาในขณะที่มืออีกข้างประคองแก้มเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ก่อนจะถาโถมจูบที่แสนหนักหน่วงเข้ามามากขึ้น ลิ้นหนาทั้งสองเกี่ยวตวัดดูดดุนกันมาประหนึ่งเต้นรำบนเลวไฟ  คุโรโกะรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นระรัวด้วยความเร่าร้อน ก่อนที่ความร้อนดุจเปลวไฟนั่นจะลามลงมายังท้องน้อย  คนร่างสูงยังคงจูบที่ริมฝีปากเขาซ้ำๆ ด้วยความหลงใหลอันเกินกักเก็บ
 เพียงไม่นานคนร่างสูงก็ค่อยผละริมฝีปากของตนออกมาจากริมฝีปากนุ่มนิ่ม  ดวงตาสีฟ้าเข้มเหม่อมองริมฝีปปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อที่เผยอออกราวกับขนมหวานด้วยแววตามีเลศนัย ไหนจะดวงตากลมโตอันฉ่ำปรือที่มองเขามาเหมือนกับว่าต้องการอะไรบางอย่างนั่นอีก
 เขายกยิ้มบางๆ ก่อนจะยกมือขึ้นประคองแก้มขาวนวลอีกครั้ง คุโรโกะสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาด้วยความเขินอาย
 “เอ่อ คุณแนชครับ...”
 “หืม?” แนชคลี่ยิ้ม
 “คือว่า...” คุโรโกะเหลือบสายตามองรอบๆ มือเล็กทั้งสองข้างจิกไหล่กว้างเบาๆ “คือว่าเรายังอยู่ในที่สาธารณะนะครับ”
 “แล้ว?” แนชเลิกคิ้ว
 “แบบว่า...” คุโรโกะหน้าแดง “เราไม่ควรทำแบบนี้ในที่สาธารณะนะครับ”
 แนชยิ้มอย่างซุกซน เขาเลิกคิ้วให้อย่างท้าทาย ก่อนที่จะประคองใบหน้าหวานให้มาใกล้ตัวเองมาขึ้น  และเสียงกระซิบอันเซ็กซี่ที่พูดเบาๆ ข้างใบหูก็ทำให้คุโรโกะแอบยิ้มในใจกับความเอาแต่ใจของผู้ชายคนนี้
 “ใครว่าฉันสนเรื่องนั้นกันล่ะ...”
 คุโรโกะคลี่ยิ้ม “มีแค่คุณคนเดียวจริงๆ ด้วย...”
 “หืม? เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
 คุโรโกะเงยหน้ามองแนช ก่อนจะค่อยๆ ดึงคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “มีแค่คุณคนเดียวจริๆด้วยที่เป็นห่วงผมจากใจ...”
 “...”
 “ชอบคุณนะครับ...”
 ไม่รู้ว่าตอนนั้นแนชคิดอย่างไร แตทว่าเพียงไม่นานริมฝีปากบางก็ค่อยๆ ยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ
 “สารภาพช้าไปหน่อยนะ”
 ว่าแล้วแนชก็ค่อยๆ ประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาทั้งคู่จูบกันนานแค่ไหน แต่ว่ามันก็นานพอที่จะทำให้หัวใจของคุโรโกะกลับมาพองโตด้วยความสุขอีกครั้ง...

___________________________________________________________________________________________________________     
เป็นไงล่ะ ฉายาไรท์อัพเดือนล่ะครั้งจริงๆ 55555 อันนี้ไม่เคยถามมาก่อน คือรู้สึกยังไงคะกับการที่ไรท์อัพทีแต่ล่ะตอนยาวๆ แบบนี้ คือตอนแรกไรท์ก็เขียนกลางๆ เป็นนะ แต่พอไปๆมาๆก็เขียนแบบนั้นไม่ได้แล้ว เขียนยาวได้อย่างเดียว เพราะว่าไรท์วางพล็อตนะแม้ว่าจะเป็นฟิคก็ตามที เลยอยากใส่รายละเอียกเข้าไปเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่มานั่งงในตอนจบว่า ‘มันกลายเป็นแบบนี้ได้ไง’  ถ้าเกิดว่าใครที่ไม่ชอบอ่านทีล่ะเยอะๆไรท์ก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ แต่ไรท์ไม่สามารถแก้ไขได้จริงๆ เพราะมันเหมือนติดเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว ก็อยากวอนขอให้ทุกคนเข้าใจนะคะ  พูดเผื่อไว้ก่อนนะ
เอาล่ะเข้าเรื่องกัน สำหรับตอนนี้มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เอาเป็นว่าอ่านแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ไม่ต้องกลัวงงหรอก เดี๋ยวเนื้อเรื่องมันก็เฉลยตัวของมันเองในภายหลัง 5555 ก็อย่างที่บอก บุคคลที่บทหายไปนานได้กลับมาแล้ววววววว  ทีมแนชแสดงตัวหน่อยก็ดีนะ ทีมอาคาชิก็อย่ายอมแพ้ค่ะ (ฮา)
เอาเป็นว่าขอขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอ่านนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่เป็นกำลังใจให้ไรท์เสมอมา ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ อย่าลืมเม้นเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ หากมีำผิดก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ บางครั้งนั่งแต่งนานๆแล้วมันก็มีหลุดบ้างด้วยความมึน ยังไงก็ไรท์รักทุกคนจ้า ไว้เจอกันใหม่นะ~~

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น