“ขออนุญาตเสริฟค่ะ” หญิงสาวค่อยๆ นำถ้วยไอศกรีมและแก้วน้ำวางลงบนโต๊ะหน้าคุโรโกะอย่างนิ่มนวล ก่อนที่เธอจะโค้งศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
คนตัวเล็กทอดสายตามองถ้วยแก้วไอศกรีมตรงหน้าอย่างลำบากใจ ก่อนจะเหลือบสายตามองใบหน้าหลอเหลาคนตรงข้ามด้วยรอยยิ้มเจื่อน ซึ่งอีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มรับอย่างไม่สะกิดใจอะไร
“เป็นอะไรไป ไม่กินหรอ?” ริมฝีปากหยักยกยิ้ม
“เอ่อ...คือว่า”
คนตัวเล็กก้มมองมือของตัวเองอย่างเขินอาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบกินหรืออะไร แต่ว่าสำหรับผู้ชายอย่างเขา การเข้ามาในร้านหวานแหววพร้อมสั่งเมนูน่ารักมุ้งมิ้งแบบนี้มันค่อนข้างจะน่าอายไปหน่อย...
ไม่รู้ว่าหลังจากเจอแนชเวลามันผ่านมานานแค่ไหน ไม่รู้ว่ามัวแต่ถูกรสจูบอันดูดดื่มนั่นทำให้มัวเมาหรืออย่างไร สติถึงได้ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกลากเข้ามาในคาเฟ่แห่งนี้ซะแล้ว
พอเริ่มรู้สึกดีขึ้น คุโรโกะก็เริ่มรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองเมื่อครู่นั้นมันน่าอายมาก ไปจูบกันกลางที่สาธารณะแบบนั้น แถมไหนจะท่าทางของเขาอีก... จริงอยู่ว่าเขารู้สึกคิดถึงแนชมากบวกกับความรู้สึกเสียใจที่ถาโถมเข้ามาจนทำให้เผลอทำตัวแบบนั้นไป แต่พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นเขาถึงเพิ่งได้รู้สึกตัวว่าแนชเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่สามารถเชื่อใจได้เต็มร้อย
ยามเมื่อรู้สึกสูญเสีย ครั้นหัวใจได้รับการเยียวยา เราก็จะลืมไปว่าคนๆนั้นเคยเป็นใคร เวลาคนเรารู้สึกแย่นี่มันทำได้ทุกอย่างจริงๆ...
“ฉันได้ยินมาว่านายชอบของหวานนี่ หรือว่าฉันจะได้ยินมาผิดนะ...” แนชจับปลายคางของตัวเองอย่างครุ่นคิด คำพูดแผ่วเบานั้นราวกับกำลังคุยกับตัวเอง
“มะ...ไม่ใช่ครับ” คนตัวเล็กรีบส่ายมือปฏิเสธก่อนที่แนชจะเข้าใจผิด ทว่าครั้นดวงตาคมสีฟ้าเข้มเบนสายตากลับมาจ้องมองเขาอย่างสนใจ ดวงหน้าหวานก็ต้องขึ้นสีแดงระเรื่ออีกครั้งด้วยความเขินอาย นัยน์ตากลมโตมองแนชด้วยหัวใจที่เต้นตึกๆตักๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างเป็นคำถาม
“ไม่ใช่อะไรหรอ?” รอยยิ้มบางบนใบหน้าหล่อเหลาที่สมกับเป็นผู้ใหญ่ ทำให้คุโรโกะรู้สึกว่าพวงแก้มร้อนผ่าว
“คะ...คือว่า” คุโรโกะเริ่มอย่างตะกุกตะกัก “ผมน่ะชอบกินของหวานนะครับ แต่...”
“แต่?”
“แต่ว่าส่วนใหญ่ผมกับเพื่อนจะซื้อเอาตามร้านข้างทางหรือไม่ก็เข้าคาเฟ่ธรรมดามากกว่า ไม่ค่อยเข้ามากินในร้านหวานๆ สำหรับเด็กผู้หญิงแบบนี้”
“อย่างงั้นหรอ” แนชจับปลายคางของตัวเอง พลางเหลือบสายตามองไปรอบๆ ร้าน “ฉันนึกว่าเวลามนุษย์ท้องหิว ไม่ว่าร้านไหนก็เข้าได้ซะอีก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ก็คุณแนช...ไม่ใช่มนุษย์นี่นา” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงเบาในคำสุดท้าย พยายามทำความเข้าใจในธรรมมชาติของพวกแวมไพร์ที่คงจะไม่เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ไปซะทุกเรื่อง
แนชมองไปรอบร้านสักพัก ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วหันมาให้ความสนใจแก่คนตัวเล็กตรงหน้าแทน รอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาปรากฎบนใบหน้าขาวซีด ทำให้หัวใจของคุโรโกะกลับมาเต้นระรัวด้วยความหวั่นไหวอีกครั้ง
“แล้ว...จะไม่กินจริงๆหรอ?” แนชเหลือบมองของหวานตรงหน้าคุโรโกะที่ตนเองเป็นคนสั่งมาให้เองโดยไม่ได้ถามเจ้าตัว ไอศกรีมสามชั้นรสวานิลาในแก้วทรงสวยที่ถูกราดด้วยช็อกโกแลตกำลังค่อยๆ ละลายทีล่ะน้อยอย่างน่าสงสาร
“เอ่อ...”
“ขอโทษนะที่ทำอะไรตามอำเภอใจ แต่ว่านายกำลังรู้สึกแย่ไม่ใช่หรอ?”
“...”
“นายยังไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องที่มันกวนใจนายตอนนี้ใช่ไหมล่ะ”
รอยยิ้มบางบนใบหน้าและท่าทางที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้คนตัวเล็กไม่สามารถเถียงอะไรออกไปได้ จริงอยู่ว่าตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะเล่าเรื่องที่มันรบกวนจิตใจ แต่ว่าแค่ของหวานมันจะไปช่วยอะไรได้ล่ะ...คุโรโกะคิดในใจขณะที่มองไอศกรีมตรงหน้าด้วยแววตาลำบากใจ มันค่อยๆ ละลายลงทีล่ะเล็กล่ะน้อย ราวกับว่ามันกำลังร้องบอกให้เขาลงมือกินมันซะยังจะดีเสียกว่าที่ต้องถูกทอดทิ้งอย่างเย็นชาแบบนี้
“กินก็ได้ครับ...”
สุดท้ายแล้วคุโรโกะจึงตัดสินใจค่อยๆ หยิบช้อนขึ้นมาด้วยความจำยอม ก่อนจะตักเนื้อไอศกรีมคำเล็กเข้าปากอย่างเชื่องช้า รสชาติความหวานละมุนบนลิ้นนุ่มพร้อมความเย็นเยียบจนเสียวฟันทำให้คุโรโกะเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“หวานจัง...”
ความหอมหวานและความเย็นสบายของไอศกรีมทำให้จิตใจของเด็กน้อยเหมือนได้รับการเยียวยา จากนั้นคุโรโกะจึงเริ่มตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าหวานอันน่ารักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ส่งผลให้แนชแอบคลี่ยิ้มเล็กๆอย่างพึงพอใจ
ในฐานะแวมไพร์แล้ว แนชมักคิดอยู่เสมอว่ามนุษย์ที่ชอบกินของหวานจะมีแต่พวกผู้หญิงแล้วก็เด็กเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะมั้ง ผู้ชายที่ชอบของหวานก็มี ผู้หญิงที่ไม่ชอบกินของหวานก็เยอะ มนุษย์นี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเสียจริง
เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ พร้อมกับไอศกรีมรสวานิลาที่ค่อยๆ หมดลงทีล่ะน้อย แนชนั่งเท้าคางมองคุโรโกะด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ตอนแรกดูกังวลซะขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับกินจนแทบไม่เหลือ ยังไงเสียเด็กก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำล่ะนะ...
แม้คุโรโกะจะไม่รู้ แต่สำหรับเขาแล้ว การได้มานั่งมองคนตัวเล็กตั้งหน้าตั้งตากินราวกับเด็กแบบนั้นมันช่างเป็นภาพที่น่าคิดถึงจริงๆ มันก็นานแล้วสินะที่เขาไม่ได้...
‘ไม่...อย่าไปนึกถึงมันจะดีกว่า’
เพียงไม่นานในที่สุดคุโรโกะก็กินไอศกรีมจนหมด คนตัวเล็กจิบน้ำเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อครู่ แนชมองใบหน้าหวานที่คลายจากความเศร้าด้วยแววตาพึงพอใจ
จากนั้นสักพักพนักงานสาวก็เดินมาเก็บถ้วยของคุโรโกะไป คนตัวเล็กจึงนั่งดูดเครื่องดื่มของโปรดต่ออย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งแนชเองก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน ชายหนุ่มเพียงแค่นั่งมองคนตัวเล็กอย่างเงียบๆด้วยรอยยิ้มบนมุมปาก และเมื่อคนร่างสูงไม่เริ่มพูดอะไรสักที คุโรโกะจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดยังไงเฉกเช่นเดียวกัน
ความเงียบงันโอบล้อมคนทั้งสองอยู่นานหลายวินาที แม้เสียงพูดคุยอันฟังไม่ได้ศัพท์ของคนในร้านจะตีกันไปมาจนยุ่งเหยิง แต่คุโรโกะกลับรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขามันช่างหนักอึ้งจนเหมือนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง คนร่างบางเหลือบสายตามองแนชอย่างหวาดหวั่น ในใจมีคำถามมากมายที่อยากจะพูดออกไป ทว่าครั้นนัยน์ตาทั้งสองคู่สบตากันโดยบังเอิญ แก้มของเขาก็พลันขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่าอายทันที
แนชคลี่ยิ้มเล็กๆ
“แล้ว...”
ฝ่ามือแข็งแรงยื่นมาแตะลงบนมือเล็กของคุโรโกะที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีฟ้าเข้มจ้องมองเข้ามาในดวงตาของคุโรโกะ
“ตกลงนายมีเรื่องอะไรกันแน่”
“...”
คำถามที่ตรงไปตรงมาแทงเข้าไปในใจจนรู้สึกเจ็บพิลึก คุโรโกะเลี่ยงสายตาหนีดวงตาคมกริบคู่นั้น เรียวฟันขาวกัดริมฝีปากล่างของตนเองด้วยท่าทางลำบากใจ แนชมองปฏิกิริยาของคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มบาง ดวงตาคมไล่สายตามองใบหน้าหวานอย่างพินิจ ก่อนที่เขาค่อยๆ ยกมือบอบบางของคุโรโกะขึ้นมาอย่างอ้อยอิง
คุโรโกะสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ ดวงตากลมโตช้อนมองคนร่างสูงอย่างสงสัย
“จะ...จะทำอะไรครับ...”
แนชผุดยิ้มบนมุมปากอย่างพึงพอใจที่เด็กน้อยไม่ต่อนต้าน ก่อนที่เขาจะค่อยๆประทับริมจุมพิจลงไปบนหลังมือบอบบางด้วยสัมผัสอันแสนอ่อนโยนและนุ่มนวล
“อ๊ะ...”
ใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงระเรื่อมองการกระทำของแนชด้วยแววตาเขินอาย แต่ก็รู้สึกไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน สัมผัสอันอ่อนโยนของริมฝีปากเย็นจัดที่ประทับลงมาทำให้เขารู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว คนตัวเล็กมองคนร่างสูงด้วยแววตาเขินอาย แนชลากผ่านริมฝีปากไปตามเรียวนิ้วงามอย่างเชื่องช้า ยิ่งอีกฝ่ายไม่ยอมละริมฝีปากออกไปจากหลังมือเขาเสียที เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นรัว
“ค..คุณแนชครับ...” คุโรโกะเอ่ยเรียกคนร่างสูงเสียงเบา แนชช้อนสายตามองคนร่างบางเล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่ยอมหยุดการกระทำของตนเอง
คนร่างสูงกดจูบที่ปลายนิ้วของคุโรโกะอย่างนุ่มนวล ก่อนจะยกฝ่ามือบอบบางข้างนั้นขึ้นมาประทับแก้มของตน พลางหลับตาลงราวกับว่ากำลังดำดิ่งลงสู่ความรู้สึกบางอย่างที่คิดถึงมาเนิ่นนาน คุโรโกะจ้องมองการกระทำนั้นด้วยดวงตาสั่นระริก พวงแก้มทั้งสองข้างพลันขึ้นสีแดงระเรื่อกับการปฏิบัติแสนอ่อนโยนที่แนชกระทำกับเขาราวกับเป็นสิ่งสำคัญ...
“เอ่อ...คุณแนชครับ ค..คือว่า...” เสียงของคุโรโกะทำให้แนชค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ขอโทษนะที่ฉันทำอะไรตามใจตัวเอง” แนชเลื่อนฝ่ามือของคุโรโกะมาจรดที่ริมฝีปาก “แต่ว่าฉันรู้สึกได้ผ่านทางฝ่ามือข้างนี้...”
“รู้สึกหรอครับ...”
แนชจ้องมองเข้ามาในดวงตาสีฟ้าคราม “เด็กดีของฉัน...ช่วงที่ฉันไม่อยู่คงเจอเรื่องมาเยอะเลยสินะ”
“เอ๊ะ”
“ทั้งแววตาของนาย ท่าทางของนาย คำพูดคำจา ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันดูแตกต่างไปจากเดิมก่อนที่ฉันจะไม่อยู่นิดหน่อย”
“ยังไงหรอครับ” คุโรโกะเอ่ยถามเสียงเบา
“ก็...” ดวงตาคมกริบจ้องมองใบหน้าหวาน “ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่า แต่นายดูหวาดกลัวการถูกแตะเนื้อต้องตัวนะ”
“เอ๊ะ?!” คุโรโกะสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อถูกพูดจี้จุด และเมื่อเขาเห็นว่าแนชกำลังมองมาทางนี้อย่างจับผิด คุโรโกะจึงรีบเลี่ยงสายตาหนีอย่างเร่งรีบทันที
“ผะ...ผม คือว่าผม...” ด้วยความตกใจคุโรโกะจึงพยายามจะชักมือกลับ แต่แนชกลับจับฝ่ามือของคุโรโกะแน่นขึ้น
“อย่าคิดปิดบังฉัน เท็ตสึยะ” แนชเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันดังกว่าเดิม ดวงตาที่จ้องมองมาไม่ต่างจากโซ่ตรวนที่ตรึงร่างกายของคุโรโกะให้หยุดนิ่ง คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกใหญ่ด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตากลมโตอันสั่นระริกจ้องมองแนชด้วยสายตาหวาดๆ ราวกับกำลังจะร้องไห้ภายในไม่กี่วินาทีต่อจากนี้
“เท็ตสึยะ...” แนชเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนลง “ตกลงนายมีเรื่องอะไรกันแน่”
อาจเพราะด้วยความสงสารในใจที่เห็นใบหน้าหวานเหมือนจะร้องไห้ เขาจึงพยายามคลายสีหน้าอันเคร่งเครียดลงเพื่อให้คุโรโกะไม่กลัว พลางกุมมือบอบบางไว้อย่างแผ่วเบา
คุโรโกะเหลือบสายตาขึ้นมองแนชน้อยๆ ก่อนจะเบนสายตามองลงข้างล่างดั่งเดิม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่รอยยิ้มเริ่มเลือนหายไปจากใบหน้าของคนร่างสูง ท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน สีหน้าอันเรียบเฉยๆ กับคำพูดอันเย็นเยียบทำให้เขาแอบรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆในใจ
“คือว่าผม...” คุโรโกะเอ่ยอย่างลังเล ในขณะที่แนชไม่พูดอะไร เพียงแค่รอคอยคุโรโกะพูดออกมาอย่างอดทน แต่แววตาสีฟ้าเข้มที่จ้องมองมาก็เหมือนบังคับให้พูดกลายๆ
คุโรโกะกำชายเสื้อตัวเองแน่น ในหัวพลันคิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่คิดจะพูดต่อจากนี้ ทว่าครั้นลองคิดทบทวนดูว่าจะพูดอะไร ภาพเหตุการณ์อันทรมานก่อนหน้าก็แวบเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ
‘ไม่! อย่า!! อย่าเอาเข้ามานะ!!!’
‘มะ...ไม่เอาครับอาโอมิเนะคุง...ฮึก...มันใหญ่เกินไป...ผมรับไม่ไหวหรอก’
‘ไม่เอา! ไม่นะ!! ฮึก...ไม่!!!’
‘อาโอมิเนะคุง...ฮึก...ผมเจ็บ หยุดเถอะครับ...มันเข้าไม่ได้หรอก...’
‘อ๊า!!!’
คนร่างบางหน้าซีดเผือด แม้เป็นเพียงแค่ภาพในความทรงจำ ทว่าทุกอย่างกลับชัดเจนยามย้อนนึกถึงมัน ทั้งเสียงกรีดร้องของเขา ทั้งภาพที่อาโอมิเนะกระชำทำเรากับเขา ทั้งกลิ่นเลือดและกลิ่นน้ำคาวสีขุ่น สิ่งเหล่านั้นเด่นชัดอยู่ในหัวราวกับว่าเรื่องทั้งหมดมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ความจริงอันโหดร้ายได้ตอกย้ำว่าตัวคุโรโกะนั้นไม่ได้บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว...
คนตัวเล็กตัวสั่นด้วยความกลัว ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมากุมอกด้วยความเจ็บปวดหัวใจราวกับมันกำลังถูกลวดหนามบีดรัด ความอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกแล่นริ้วขึ้นมา ทำให้คุโรโกะหอบหายใจถี่รัวประหนึ่งคนจะขาดใจตาย คุโรโกะร่ำร้องในใจว่าให้หยุดนึกถึงมัน ทว่าภาพความทรงจำอันเลวร้ายกลับหลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่หยุด
“หยุดสิ... หยุดสิ... หยุดเดี๋ยวนี้!” คุโรโกะกุมหัวตัวเองด้วยความทรมาน พลางส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา “อย่าไปนึกถึงมัน... ฮึก... อย่าไปนึกถึงมัน...”
หลังจากเหตุการณ์นั้นคุโรโกะพยายามใช้ชีวิตโดยทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เขาถึงได้ปรับสภาพจิตใจของตัวเองให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าแค่แกล้งทำเป็นลืมไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืม ลึกๆในใจคุโรโกะก็รู้สึกกลัวทุกครั้งยามนึกถึงมัน
“ผะ...ผม... ผม...” ริมฝีปากอันสั่นระริกพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดส่ายหน้าไปมา
ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของคุโรโกะทำให้ถูกคนในร้านจ้องมองไม่น้อย แนชเหลือบสายมองคนเหล่านั้นด้วยแววตาไม่พอใจ พวกมนุษย์นี่ช่างไร้มารยาทจนน่าสะอิดสะเอียน...แนชคิดในใจด้วยสีหน้าเย็นชา เขามองคุโรโกะนิ่งสักพัก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจดึงมือคุโรโกะให้รีบเดินออกไปจากร้านด้วยกัน
“อ๊ะ...”
เพราะสติที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว คุโรโกะจึงถูกฝ่ามือแข็งแรงข้างนั้นจับลากออกไปได้อย่างง่ายดาย ร่างเล็กๆ โซซัดโซเซตามคนร่างสูงไปอย่างอ่อนแรง สิ่งที่เขามองเห็นมีเพียงแค่พื้นอันหยาบกระด้างของถนนที่เปื้อนไปด้วยฝุ่น และเท้าทั้งสองข้างที่ก้าวเดินตามแนชไป
คุโรโกะค่อยๆ เงยหน้ามองแนชด้วยแววตาสั่นกลัว ชายหนุ่มก้าวเดินตรงไปโดยไม่สนใจคนรอบข้าง แม้อีกฝ่ายจะจับมือเขาให้เดินตามไปด้วยกันอยู่ แต่ด้วยช่วงขาที่ยาวกว่าทำให้คนตัวเล็กต้องรีบสาวเท้าตามให้ทัน ดวงตากลมโตสีฟ้าครามจ้องมองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยแววตาสงสัยระคนหวาดหวั่น ในใจอยากจะถามว่าคิดจะพาเขาไปไหน ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแค่แผ่นหลังกว้างที่มุ่งเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่เหลียวกลับมามองข้างหลัง ใบหน้าหล่อเหลาอันเย็นชาที่กำลังหันหลังให้เขา ตอนนี้กำลังทำสีหน้ายังไงอยู่นะ... แม้ตอนแรกเหมือนจะอ่อนโยน แต่ว่านั่นมันเป็นแค่การแสดงหรือเปล่า... หรือว่าใจจริงแล้วกำลังโกรธเขาอยู่ หรือว่ารำคาญเขาหรือเปล่าที่ทำตัวอ่อนแอแบบนี้...
หลังจากที่เดินไปตามถนนอยู่นาน ในที่สุดเท้าของแนชก็หยุดกึก ส่งผลให้คุโรโกะหยุดตามไปด้วย
“...” คุโรโกะไม่กล้าพูดอะไร
มองจากข้างหลัง คนตัวเล็กเห็นว่าแนชกำลังลอบถอนหายใจเบาๆ จากนั้นจึงค่อยหันหน้ามาหาเขาอย่างช้าๆ ทั้งสีหน้าและแววตาของแนชดูไม่เหมือนว่ากำลังโกรธอยู่ แต่มันก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คุโรโกะรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำผิด
“เอ่อ...”
คงไปทำให้เขาไม่พอใจอีกแล้วสินะ...
“ขอโทษครับ” สุดท้ายก็มีเพียงแค่คำนี้เท่านั้นที่คุโรโกะนึกออก “ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำตัวแบบนี้ คือระหว่างที่คุณไม่อยู่กับผม... มันมีหลายเรื่องรุมเร้าเข้ามาหลายอย่าง” คุโรโกะตอบแบบอ้อมๆ
“...”
“ขอโทษด้วยนะครับที่เมื่อกี้ผมไม่ได้ตอบคำถามคุณ...”
“...”
คุโรโกะสูดหายใจเข้าลึก พลางยกกำปั้นที่สั่นน้อยๆขึ้นมาแตะตรงอกข้างซ้าย บอกตัวเองในใจว่าให้ใจเย็นลง ก่อนจะพยายามพูดสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้แนชฟัง แม้ว่ามันจะเป็นการฝืนตัวเองก็ตาม...
“คือว่าผม... ผมน่ะ...”
ยังไม่ทันที่คุโรโกะจะพูดจบประโยค อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ดึงร่างของเขาเข้าไปสวมกอดในอ้อมอก คนตัวเล็กส่งเสียงร้องน้อยๆด้วยความตกใจ ลำแขนแข็งแกร่งที่มีกล้ามเนื้อแบบพอดีโอบกอดเขาอย่างแน่นหนาจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างกาย กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายอันแสนคุ้นเคยที่ลอยขึ้นมาแตะจมูกทำให้หัวใจพลอยหวั่นไหวไปชั่วครู่ คุโรโกะเงยหน้ามองแนช ดวงตากลมโตจ้องเข้าไปดวงตาคมด้วยแววตาสงสัย ในขณะที่คนร่างสูงกลับเพิ่มแรงกอดแน่นขึ้นจนคุโรโกะรู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน
“คุณแนชครับ...แบบนี้มันอึดอัดนะครับ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่แนชก็ไม่ยอมคลายอ้อมกอดเสียที
ฝ่ามือหนาลูบศีรษะของคุโรโกะอย่างอ่อนโยนซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่ปลายจมูกโด่งเป็นสันจะกดลงมาที่เรือนผมเบาๆ คนตัวเล็กรู้สึกว่าพวงแก้มของตัวเองร้อนผ่าว การกระทำราวกับกำลังปลอบประโลมทำให้คุโรโกะรู้สึกว่าในใจลึกๆ เขาก็ไม่อยากผละออกจากอ้อมกอดนี้เลย
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับนาย...มันแย่มากเลยหรอ” สักพักแนชก็ถามออกมา
คุโรโกะนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะตอบเสียงเบา
“มัน...แย่มากครับ”
“แย่ขนาดที่ว่าพูดออกมาไม่ได้เลยงั้นหรอ”
“ประมาณนั้นครับ...”
“ถ้างั้น...” แนชสวมกอดคุโรโกะอย่างทะนุถนอม “นายก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ”
แนชเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เอ๊ะ” คุโรโกะเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “แต่คุณเป็นคนบอกให้ผม...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว...” แนชพูดขัดพร้อมอ้อมกอดที่แน่นขึ้น “ฉันนี่มันโง่จริงๆ ฉันไม่น่าทิ้งนายให้อยู่แบบนั้นตั้งแต่แรกเลย”
ในคำพูดที่แสดงถึงความเจ็บใจนั้นมีน้ำเสียงรู้สึกผิดเจืออยู่ข้างใน
“ถ้าพูดแล้วมันทำให้นายต้องจำเรื่องที่มันแย่ๆ งั้นก็ไม่ต้องพูดก็ได้ เพียงแค่นี้...ฉันก็เข้าใจแล้วถึงความเจ็บปวดของนาย”
“...”
“ขอโทษนะที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว ขอโทษนะ...”
คุโรโกะกำชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้เบาๆ ด้วยแววตาลังเล
“ไม่ให้ผมเล่าให้ฟังจะดีจริงๆหรอครับ...”
“ไม่จำเป็นหรอก”
“เอ๊ะ...” คุโรโกะเงยหน้ามองคนร่างสูง และทันใดนั้นเองหัวใจก็พลันเต้นผิดจังหวะ เมื่อสิ่งที่เขาได้เห็นก็คือรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ส่งมาให้เขาอย่างอ่อนโยน
“บางครั้งเรื่องบางเรื่องแม้ไม่ต้องพูดก็เข้าใจ...”
“...”
“แม้ฉันจะไม่รู้เรื่องราวแต่ฉันรู้ซึ้งแล้วถึงความเจ็บปวดของนาย เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องฝืนพูดออกมาก็ได้...”
เขายกมือลูบแก้มคุโรโกะอย่างแผ่วเบา
“ฉันไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ฉันควรจะพูดยังไงกับนายดี แม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่เขา แต่พวกเขาคิดว่าสิ่งสำคัญคือไม่ใช่จมอยู่กับความเจ็บปวด แต่เป็นการที่จะหาหนทางในการคลายจากความเศร้าต่างหาก เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับมนุษย์ที่อ่อนแอดีนะ”
แนชหัวเราะแบบฝืดคอ ทำให้คุโรโกะผุดรอยยิ้มออกมาเล็กๆ
“แม้มันเป็นวิธีที่อ่อนแอ แต่ผมว่ามันกลับเป็นวิธีที่อ่อนโยนนะครับ”
“งั้นหรอ” แนชเลิกคิ้ว
“ครับ” คุโรโกะตอบ “แทนที่จะมีเวลามาร้องไห้กับอดีตอันเจ็บปวดที่ผ่านมาแล้ว สู้หาวิธีทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นในตอนนี้ เพื่อจะได้มีจิตใจที่เข้มแข็งต่อไปในวันข้างหน้า ผมว่าแม้เป็นวิธีที่ใช้เวลานานไปหน่อย แต่มันก็ทำให้มนุษย์เข้มแข็งขึ้น”
คุโรโกะค่อยๆ ผละออกมาจากอ้อมกอดของแนช ในขณะที่คนร่างสูงยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ คนตัวเล็กเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบาง ด้วยเหตุผลบางอย่าง...ความรู้สึกเสียใจ และความกลัวที่เคยมียามนึกถึงเรื่องพวกนั้นกลับมลายหายสิ้นไปจนรู้สึกดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“มันอาจดูเป็นวิธีที่หนีความจริง แต่ผมจะไม่หนีจากมันหรอกนะครับ” คุโรโกะพูดอย่างตั้งมั่น แต่ดวงตาก็สั่นไหว “พอคิดกับตัวเองสักพักผมก็เพิ่งรู้ตัว แม้ตัวผมในตอนนี้อาจยังไม่พร้อมเพราะเรื่องเหล่านั้นมันเลวร้ายเกินกว่าจะทำใจยอมรับได้ตอนนี้ แต่เมื่อผมพร้อมเมื่อไหร่...เมื่อถึงเวลานั้นก็คงเป็นเวลาที่ผมต้องยอมรับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น และแบกรับมันไว้ไปพร้อมกับชีวิตของผมที่ต้องดำเนินต่อไป”
“...”
“นั่นล่ะมั้งครับคือบทเรียนที่ผมได้เรียนรู้มา...”
...จากการถูกข่มขืนในครั้งนั้น...
คุโรโกะต่อประโยคให้สมบูรณ์ในใจของตนเอง
แนชมองคุโรโกะด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“แทนที่จะลืม กลับเรื่องวิธีที่ยากลำบากอย่างการแบกรับมันไว้งั้นหรอ” คนร่างสูงหัวเราะ “เป็นเด็กที่แปลกจริงๆ ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้...”
“เอ๊ะ?” คุโรโกะเอียงคอเมื่อไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายที่แนชพูด
“ไม่มีอะไรหรอก”
แนชเอ่ยปัดด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ดวงตาคมจะเลื่อนสายตากลับมาสนใจคนร่างบางอีกครั้ง
“แล้วตอนนี้เด็กดีของฉันรู้สึกดีขึ้นรึยัง”
เมื่อได้ยินคำถามคนตัวเล็กก็ส่งเสียงออกมาเบาๆด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้นิ้วชี้เกาแก้มตัวเองอย่างเก้อเขิน ไม่กล้าตอบอีกฝ่ายได้อย่างเต็มปากว่ารู้สึกดีขึ้นแล้ว
“จะว่ายังไงดีล่ะครับ มันก็ดีขึ้นแล้ว... แต่ว่าผมกลับรู้สึกไม่สบายใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน”
“รู้สึกครึ่งๆกลางๆระหว่างดีกับไม่ดีสินะ”
คุโรโกะพยักหน้าหงึกๆ ทำให้แนชถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นแนชก็จิ้มหน้าผากของคุโรโกะไปแรงๆ ทีนึง จริงอยู่ว่าแม้ไม่รุนแรงมาก แต่พละกำลังของแวมไพร์มันก็มากพอที่จะทำให้ศีรษะของคุโรโกะผงะไปด้านหลัง คนร่างบางพองแก้ม พลางจ้องแนชเขม็งด้วยแววตาไม่พอใจ ซึ่งท่าทางน่ารักแบบนั้นทำให้ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมา
“เด็กดีของฉัน... นายเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดีนะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นายสามารถผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ทุกครั้ง”
แนชลูบแก้มของคุโรโกะอย่างแผ่วเบา ทำให้ดวงตากลมโตเผลอมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างคล้อยตาม
“ขอแค่นายไม่จำมันมาเก็บใส่ใจ เพียงแค่นั้นนายก็จะไม่ต่างไปจากคนปกติธรรมดา เห็นไหมว่ามันง่ายนิดเดียว”
คุโรโกะที่ยืนฟังคำพูดของแนชมาได้สักพักพลันก้มหน้าลงน้อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกดีนะ... คำพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคช่วยให้จิตใจของเขาสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็น จริงอยู่ว่าตอนนี้เขาอาจยังไม่ลืม แต่ว่าขอเพียงแค่ไม่ไปนึกถึงมัน เขาก็จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีความสุข แนชพยายามจะบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น...
หลังจากตอนนั้นคุโรโกะก็รู้สึกว่าข้างในมันหน่วงๆอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ตลอดเวลาหลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็ได้รับการดูแลอย่างดีมาโดยตลอด ทว่าในใจลึกๆของเขากลับยังรู้สึกไม่สบายใจ และแม้ว่าร่างกายและหัวใจจะร้องบอกว่าตัวเองโอเคแค่ไหน ภายใต้ความจริงในใจลึกๆ กลับร้องบอกว่าตัวนายยังขาดอะไรไป คุโรโกะรู้สึกสงสัยมันมาตลอดว่ามันคืออะไรจนกระทั่งมาถึงตอนนี้
บางครั้งเวลาที่คนเรารู้สึกเศร้า ทรมาน และเจ็บปวดรวดร้าว มันอาจดูเป็นคำที่โหดร้าย แต่ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการอะไรเลยนอกจากเพียงแค่ ‘คำปลอบใจจากคนที่ยอมรับฟัง’
ซึ่งแนชเป็นคนเดียวที่คุโรโกะรู้สึกว่าเขาสามารถถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นได้ ทั้งที่เขายังไม่ได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง แต่แนชกลับเข้าใจและกอดปลอบเขาอย่างอ่อนโยน คำพูดปลอบประโลมที่ห่วงใยเขาจากใจจริง การกระทำที่อ่อโยนนั้นทำให้คุโรโกะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะมันยังคงมีคนที่ห่วงใยเขาขากใจจริงอยู่ ขอเพียงแค่สิ่งเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น
“คุณแนชครับ...”
“หืม?”
“ขอบคุณนะครับที่ปลอบผม”
เมื่อได้ฟังแนชก็ยักไหล่เบาๆ พลางยกยิ้มบนมุมปากเหมือนสื่อว่า ‘เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก’
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ คุโรโกะก็เผลอยิ้มออกมาอย่างฝืดๆ ราวกับเป็นการประชดตัวเอง ทั้งที่หลังจากถูกกระทำชำเราแบบนั้นเขาก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากพวกมิโดริมะ และคำพูดปลอบใจของแนชที่ช่วยดึงเขาให้ขึ้นมาออกมาจากความเศร้า ทั้งที่สองวิธีนั้นมันไม่ใช่วิธีที่ยากอะไรเลย
...แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้เลือกที่จะไม่ทำมันเลยสักวิธีเดียว...
ไม่แม้แต่จะเข้ามาดูแลหรือถามไถ่ ไม่แม้แต่จะห่วงใยหรือพูดปลอบโยน ตกลงว่าสำหรับผู้ชายคนนั้น....ตัวเขายังมีความสำคัญที่ต้องห่วงใยอยู่รึเปล่านะ
ภาพใครคนหนึ่งลอยขึ้นมาในหัวแบบไม่ทันได้คิด ใบหน้าหล่อเหลาอันเย็นชาที่ที่เรือนผมสีแดง และดวงตาสีทับทิมอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น คุโรโกะนึกถึงรอยยิ้มซุกซนซึ่งมักจะมองมาในเวลาที่กำลังแกล้งเขาทุกครั้ง
‘อาคาชิคุง...’
คุโรโกะนึกถึงผู้ชายคนนั้นอย่างลืมตัว ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ก่อนจะรีบสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นให้ออกไปจากหัว
“เท็ตสึยะ เป็นอะไรไป?”
แนชเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเขา
“เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ” คุโรโกะจิ้มเจื่อน นึกแล้วก็รู้สึกหงุดหงิด ทำไมจะต้องไปนึกถึงอาคาชิตอนนี้ด้วยนะ...
แนชมองคุโรโกะด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ดวงตาสีฟ้าเข้มดูไม่ค่อยเชื่อถือนักในสิ่งที่คุโรโกะพูด แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามอะไร
“จะว่าไปวันนี้ทั้งวันนายว่างใช่หรือเปล่า”
“เอ๊ะ ทำไมอยู่ๆถึงถามแบบนี้ขึ้นมากะทันหันล่ะครับ”
“ตอบมาก่อนว่าว่างหรือเปล่า” แนชพูดเสียงดุ
“วะ...ว่างครับ” คุโรโกะตอบเสียงสั่น ทำไมแค่นี้จะต้องเสียงดุด้วย...
เมื่อได้ยินคำตอบเป็นที่น่าพอใจ คนร่างสูงก็ยกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ก่อนจะดึงมือของคนตัวเล็กให้เดินตามไปด้วยกันโดยที่ยังไม่ได้ตอบอะไรเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย คุโรโกะที่ถูกลากไปอย่างฉับพลันเริ่มทำหน้าเหวอด้วยความตกใจ ในขณะที่ทั้งร่างถูกคนตัวสูงกว่าจูงไปได้อย่างง่ายดาย
“ค...คุณแนชครับ! จะพาผมไปไหน”
“วันนี้นายว่างทั้งวันไม่ใช่หรอ งั้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรต้องห่วงนี่”
“มันก็ใช่ครับ แต่ว่าอย่างน้อยช่วยอธิบายให้ผมฟังก่อนสิ”
ทันใดนั้นแนชก็เอี้ยวหน้ามามองเขาเล็กน้อย ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มออกมาอย่างซุกซน ดวงตาที่เป็นประกายนั้นเหมือนหมาป่าที่มองเหยื่ออันโอชะ
“ไปเดตกัน”
ทั้งรอยยิ้มและคำพูดประโยคนั้นทำให้คุโรโกะรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังร้อน รู้สึกว่าพวงแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวไปหมด หัวใจพลันเต้นระรัวด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจ ริมฝีปากอันสั่นระริกเอ่ยด้วยคำเสียงสั่นๆ อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ดะ...เดต คุณบะ...บอกว่าเดต...”
“ใช่” แนชพูดซ้ำอย่างสบายๆ “ฉันบอกว่าไปเดตกัน”
ในวินาทีนั้นคุโรโกะรู้สึกเหมือนมีระเบิดลูกใหญ่มาระเบิดตูมอยู่ข้างในอกเขา ความรู้สึกเขินอายแล่นเข้ามาจนคุโกะพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าหนีเพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่แดงจัดของตัวเอง
ท่าทางที่น่ารักน่ารังแกเช่นั้นอดไม่ได้ที่จะทำให้แนชเผลอดึงคุโรโกะเข้ามาใกล้ให้มากกว่าเดิม ในขณะที่ฝ่ามือค่อยๆ เลื่อนลงมากุมมือคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน ใบหน้าอันน่ารักที่เริ่มแสดงความเขินอายทำให้คนร่างสูงรู้สึกไม่อยากจะปล่อยคุโรโกะให้หลุดมือไป
“บางทีถ้าหากเราไปเดทกัน มันอาจทำให้นายลืมเรื่องแย่ๆพวกนั้นก็ได้
...เพราะแบบนั้นถึงได้ชวนเรางั้นหรอ...
“ก็เราไม่เจอกันตั้งนาน แถมตอนนี้นายก็กำลังรู้สึกไม่ค่อยดี ไม่คิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะไปเลยหรอ”
“นั่นมันก็...”
“ไม่ต้องห่วง” แนชพูด ก่อนจะกระชับมือคุโรโกะให้แนชขึ้น ส่งผลให้คุโรโกะต้องเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัย แต่ทว่าเมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนั่นแล้ว เขากลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว...
“ฉันสัญญาว่าจะทำให้วันนี้เป็นวันที่นายมีความสุขมากที่สุดในชีวิต”
“...”
“เพราะฉะนั้นเชื่อใจฉันนะ”
“...”
แท้จริงแล้วในใจคุโรโกะรู้สึกเชื่อใจแนชแบบครึ่งๆกลางๆ พอแนชพูดแบบนี้... ในตอนนั้นคุโรโกะจึงพูดอะไรไม่ออก นอกจากพยักหน้ารับเบาๆ ด้วยพวงแก้มนวลที่พลันเขินจัดจนเปลี่ยนเป็นสีชมพู มือเล็กๆ เริ่มบีบมือแนชตอบราวกับเป็นการตอบรับคำชวนและความรู้สึกทั้งหมดที่คนร่างสูงต้องการสื่อให้เขารับรู้
แนชมองปฏิกิริยาตอบรับของคุโรโกะด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะพาคนตัวเล็กเดินผ่านผู้คนมากมายไปตามถนนด้วยกัน โดยที่คุโรโกะก็ไม่อาจรู้ได้ว่าแนชจะพาไปไหน แต่ว่าเขากลับไม่รู้สึกระแวงอะไรเลย...
...ตลอดมานั้นเขาเชื่อใจแนชแบบไม่เต็มที่มาโดยตลอด แต่ว่ามีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เขารู้สึกว่าแนชสามารถเชื่อใจได้จริงๆ
‘หวังว่าจะไม่หลอกผมทีหลังนะครับ’
คุโรโกะคิดในใจอย่างเป็นกังวล ทว่ามันกลับเป็นความกังวลที่ขัดกับใบหน้าของคุโรโกะที่กำลังยิ้มโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
...
...
...
.
.
.
.
.
.
เสียงเพลงอันแสนไพเราะดังอย่างแผ่วเบาภายในห้องอันเงียบงัน อาคาชินั่งเท้าคางมองกล่องเพลงที่มีคู่รักเต้นรำหมุนไปมาอย่างเชื่องช้า คลอไปกับเสียงเพลงที่แสนสงบ แววตาที่เฉยเมยคู่นั้นมองกล่องเพลงโง่ๆ ด้วยแววตาเฉยชา ก่อนจะยื่นนิ้วไปจิ้มมันจนกล่องเพลงล้มลงไป
แต่ถึงกระนั้นเสียงเพลงก็ยังคงดังอยู่ อาคาชิถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจปิดกล่องเพลงนั้นลงซะ
...เมื่อนานมาแล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาซื้อเจ้าสิ่งนี้มาจากร้านขายของเล่นเก่าๆ มันเป็นทำนองเพลงที่ค่อนข้างเก่ามากสำหรับในตอนนั้น แต่ว่ามันกลับมีความรู้สึกที่น่าคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดว่าบางทีกล่องเพลงที่เล่นเพลงโง่ๆ มันอาจทำให้เขาสลัดเรื่องคุโรโกะออกไปจากหัวได้ และกลับมาโฟกัสเรื่องแผนการของตัวเองต่อ ถึงได้หยิบมันขึ้นมาเปิดฟัง ทว่ามันกลับตรงกันข้าม ยิ่งได้ยินเพลงที่แสนเศร้าสร้อย ในหัวของเขากลับมีแต่ใบหน้าของคุโรโกะลอยเต็มไปหมด
คำพูดของมิโดริมะลอยไปมาในสมองของเขา ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี...ตอนนั้นก็เลยปฏิเสธแบบนั้นไป แต่ในใจนั้น...
‘นี่เราชอบเท็ตสึยะอย่างนั้นหรอ...’
ในใจก็รู้สึกสงสัยในตัวเองอยู่ไม่น้อย
ทั้งที่เขาเอาเด็กคนนั้นมาเพื่อทำตามแผนแท้ๆ แต่ทำไมเรื่องมันถึงได้กลับตาลปัตรแบบนี้กัน ไม่สิ...อันที่จริงมันก็ผิดแผนไปตั้งแต่ที่เขาพาคุโรโกะมาที่นี่แล้ว
เขาไม่กล้าทำตามแผน ในใจลึกๆเขารู้สึกหวาดกลัวที่จะสูญเสียคุโรโกะไปอีกครั้ง แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากเติมเต็มความแค้นในใจให้มันสงบลง
‘หรือว่า...เราควรจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองมากกว่าการแก้แค้น แต่ว่าถ้าทำแบบนั้น...’
ถ้าเกิดว่าเท็ตสึยะหักหลังเราเหมือนกับที่ ‘เท็ตสึยะ’ เคยทำล่ะ...
ถ้าเกิดว่าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นอีกล่ะก็
ทันใดนั้นใบหน้าที่แสนอ่อนโยนของหญิงสาวคนนั้นก็ลอยเข้ามาในหัว อาคาชิส่ายหน้าไปมา ก่อนจะปัดกล่องเพลงตกลงพื้นเสียงดัง เขาหอบหายใจถี่รั่ว พลางยกมือขึ้นมากุมหัว ทั้งที่พยายามจะลืม ทั้งที่พยายามจะโกรธแค้น ทว่าพอเขานึกถึงใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นทีไร ความรู้สึกผิดและความคิดถึงก็ตีเข้ามาในหัวจนเขาแทบจะเป็นบ้า
“นี่ฉันเป็นอะไรไป...” อาคาชิพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงของคนที่สิ้นหวังราวกับกำลังท้อแท้ในชีวิต ดวงตาคมเลื่อนสายตาไปมองกล่องเพลงที่กองอยู่บนพื้น ไม่รู้อะไรที่บังคับฝ่ามือของเขาให้ยื่นไปเก็บมันขึ้นมา
‘บางที...ถ้าเราได้ใช้เวลากับเท็ตสึยะ เราอาจจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น’
ความลังเลนั้นจะเป็นสิ่งชั่วร้ายที่คอยรบกวนเป้าหมายของเขาหรือไม่นั้น อาคาชิก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะภายใต้จิตสำนึกในด้านดีของเขาก็ร้องบอกตัวเองว่า ‘ความจริงแล้วเท็ตสึยะไม่ได้ผิดอะไรเลย’
แต่ว่า... แต่ว่า...
‘เซย์จูโร่ ลูกต้องเข้มแข็งนะ’
พอพยายามคิดหาเหตุผลเพื่อเลิกละทิ้งความแค้น เหตุผลที่ทำให้เขาต้องแค้นกลับผุดขึ้นมาในสมองแทน...
เขาตั้งคำมั่นสัญญาไว้ว่าจะต้องฆ่า’เท็ตสึยะ’ เพื่อล้างแค้นให้กับพ่อแม่ ไม่ว่าเธอจะกลับชาติมาเกิดหรือว่ามีลูกก็ตาม เขาก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะต้องแก้แค้นให้สำเร็จ...
ตลอดมาก็ไม่เคยลังเล แต่เด็กคนนั้นกลับทำให้ความรู้สึกของเขาหวั่นไหวมากถึงขนาดนี้ ช่างเป็นเด็กที่มีแต่ปัญหาจริงๆ
...ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้...
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของอาคาชิที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับเพลงที่ดังคลอเบาๆ คนร่างสูงเหลือบสายตามองมันด้วยสายตาหน่ายๆ ก่อนจะเดินไปหยิบขึ้นมากดรับแล้วยกมันขึ้นมาแนบที่ข้างหู
“ว่าไง” อาคาชิกรอกเสียงลงไปแบบเรียบๆ
[อาคาชิจจิ ขอโทษนะที่ต้องบอกว่าฉันมีข่าวร้ายล่ะ]
ทันทีที่กดรับสาย บุคคลที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยเข้าประเด็นอย่างไม่มีอ้อมค้อม ทำให้คนร่างสูงต้องขมวดคิ้วสักพัก พลางคิดกับตัวเองอยู่ในหัวว่าสิ่งที่ได้ยินมันใช่สิ่งที่เขาคิดหรือไม่
“ข่าวร้ายอะไร” อาคาชิถามอย่างไม่ค่อยมีท่าทีตกใจนัก
[คือเรื่องคุโรโกจจิ ไม่ใช่สิ....คือว่าเรื่องเด็กคนนั้นน่ะ]
แม้จะแค่น้อยนิด แต่ครั้นได้ยินชื่อคุโรโกะ อาคาชิก็รู้สึกร่าเริงขึ้นมาเล็กๆ อย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มกระแอมเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะพยายามทำเสียงราบเรียบเหมือนปกติ
“มีอะไร เด็กนั่นสร้างปัญหาอะไรอย่างงั้นหรอ?”
[เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น...]
อาคาชิขมวดคิ้ว
“งั้นเรื่องอะไร”
[คือ...] ในน้ำเสียงของคิเสะมีความหวาดหวั่นเจืออยู่เล็กน้อย [ดูเหมือนว่าคุโรโกจจิจะไม่ได้มาเรียนน่ะ]
“หมายความว่ายังไง? ไม่ใช่ว่านายไปโรงเรียนพร้อมกับเขาหรอ”
[มันก็ใช่ แต่ก็แค่ส่งกลางทางเท่านั้น หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย]
พอได้ยินแบบนั้น ไม่รู้ทำไม... แต่อาคาชิกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
[ฉันไปถามจากอาจารย์ประจำชั้นมา เห็นเขาบอกว่าคุโรโกจจิไม่ได้เข้าเรียนตั้งแต่คาบแรกแล้วล่ะ แถมเด็กคนอื่นๆในห้องก็บอกว่าไม่เห็นเหมือนกันด้วย]
“งั้นก็หมายความว่าเท็ตสึยะหายตัวไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้วอย่างนั้นหรอ?”
[น่าจะแบบนั้น]
หายไปงั้นหรอ? หายไปไหน?
...หรือว่าเท็ตสึยะตั้งใจจะหนีเขาไป...
ความกังวลอัดแน่นอยู่ในอกอย่างที่ไม่เคยเป็น อาคาชิเลื่อนสายตาขึ้นไปมองบนท้องฟ้า มันยังคงเป็นสีฟ้าคราม ทว่าเมฆที่ลอยอยู่ไกลๆ กลับเป็นสีเทาคล้ายเมฆฝน คาดว่าอีกไม่นานฝนคงจะต้องตกลงมาแน่ แถมเวลาตั้งป่านนี้คุโรโกะยังไม่กลับบ้านอีก
...ชักเป็นห่วงซะแล้วสิ...
“งั้นฉันจะออกไปตามหาเอง”
การตัดสินใจที่ไม่ได้ไตร่ตรองทำให้แม้แต่ตัวอาคาชิเองยังแปลกใจ เขาไม่รอฟังคำตอบจากคิเสะ คนร่างสูงกดวางสายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าเสื้อโค้ทแล้วรีบวิ่งออกไปด้วยความเป็นห่วงคุโรโกะทันที
เพราะอะไรไม่รู้ แต่เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลย...
...
...
...
.
.
.
.
คุโรโกะถูกแนชจับมือเดินไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านผู้คนมากมายที่ทั้งเดินสวนกันและเดินไปในทางเดียวกัน ดวงตากลมโตช้อนมองแนชอย่างหวาดๆ โดยที่ไม่กล้าถามว่าจะพาไปไหน ในใจพยายามคิดในแง่ดีว่าคงไม่พาเขาเข้าม่านรูดหรือสถานที่ทำนองนั้น
ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยคุโรโกะก็มองแนชด้วยสายตาสงสัย... จะว่าไปเขาก็ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์เลย ในใจจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าแวมไพร์สามารถเดตกับมนุษย์แบบปกติได้ด้วยหรอ
“คุณแนชครับ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?” ในที่สุดคนตัวเล็กก็ถามขึ้น แนชชำเลืองสายตามามองน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปทางข้างหน้าต่อ
“ได้สิ แต่ไม่สัญญาว่าจะตอบพวกคำถามที่ฉันไม่อยากจะตอบนะ”
“อ่า...ครับ” แม้จะแอบเสียดายเล็กน้อย แต่คุโรโกะก็พยักหน้ารับคำ
“แล้วว่าไงล่ะ?”
“เอ่อ...คุณทำงานอะไรหรอครับ”
เป็นคำถามที่คาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย แม้น้ำเสียงจะดูกลัวๆ แต่คุโรโกะก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมดวงตาที่เป็นประกาย แนชเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยอมตอบคำถามออกไปแบบตรงๆ
“หลักๆ ก็เล่นหุ้น แต่เอาจริงๆก็ไม่ได้ทำหรอก”
“เอ๊ะ?”
“มันมีอะไรแปลกรึไง”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่ว่าถ้าคุณไม่ทำงานแล้วคุณจะเอาเงินมากจากไหนล่ะ?”
“อ้อ ฉันเข้าใจแล้วว่านายต้องการถามอะไร”
แนชเอี้ยวหน้ามามองคนร่างบางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดึงมือคุโรโกะให้เดินผ่านผ่านตรอกแคบๆ ทะลุไปที่ถนนอีกเส้น เมื่อเดินตามทางไปได้สักพัก ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากพูดต่อ
“ฉันมีเงินมากพอที่นายจะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายไปจนแก่เฒ่าเลยล่ะ บางทีนายไปเที่ยวรอบโลกสิบรอบก็อาจจะยังใช้เงินที่ฉันมีไม่หมดด้วยซ้ำ”
“เอ๋?! นี่คุณมีเงินมากขนาดไหนครับเนี่ย” คุโรโกะร้องด้วยความตกใจ ทว่าแนชกลับยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเงินที่เขามีอยู่เป็นเพียงแค่เศษกระดาษทิชชู่เท่านั้น
“ถามว่ามีมากขนาดไหน ฉันเองก็คงจะตอบไม่ได้หรอก ลืมนับไปนานแล้ว”
“แล้วคุณมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไงครับ! หรือว่าคุณทำธุรกิจพันล้านหรือว่าปล้นธนาคาร หรือว่าฆ่าคนรวยมีชาติตระกูลเพื่อชิงสมบัติมาเป็นของตัวเอง!”
“...”
พูดเรื่องโหดร้ายด้วยท่าทางตื่นเต้นแบบนั้น เท็ตสึยะนี่ก็เป็นคนน่ากลัวใช่เล่น...
“ที่นายพูดมาทั้งหมดน่ะ ไปจำมากจากนิยายใช่ไหม” แนชพูดอย่างรู้ทัน “ความเป็นจริงกับนิยายมันแตกต่างกันนะ”
“เอ่อ...มันก็...” คุโรโกะหัวเราะแห้งๆ ทำให้อีกฝ่ายต้องเขกหัวไปเบาๆ โทษฐานคิดเรื่องไร้สาระ
“ที่ฉันมีเงินเยอะขนาดนี้ก็เพราะทำงาน แต่ว่านั่นมันเมื่อก่อน”
“เมื่อก่อนหรอครับ?” คุโรโกะถามด้วยความสนใจ มือเล็กที่ถูกจับไว้เผลอบีบมือแนชตอบด้วยความตื่นเต้น
“อย่าไปพูดถึงเรื่องอดีตเลย” แนชใช้มืออีกข้างลูบหัวคุโรโกะด้วยสายตาเอ็นดู “แม้จะได้เงินมามากมาย แต่สำหรับแวมไพร์อย่างฉัน...ฉันจะใช้เงินไปทำอะไรล่ะ”
“...”
“นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ฉันมีเงินเหลือใช้ในทุกวันๆ พอรู้ตัวอีกที...ไอ้เศษกระดาษเล็กๆพวกนั้นก็กลายเป็นกองเงินกองทองอันมหึมาเสียแล้ว”
“แล้วทำไม...” คุโรโกะบีบฝ่ามือหนาข้างนั้นอย่างแผ่วเบา “ทั้งที่รู้ว่าสำหรับคุณเงินมันเป็นสิ่งไร้ค่า แล้วทำไม...ถึงได้ยังเก็บมันไว้อยู่ล่ะครับ”
“...”
ในวินาทีนั้น ดวงตาสีฟ้าเข้มค่อยๆ เลื่อนสายตามามองที่ใบหน้าหวานอย่างอ่อนโยน เขายกมืออีกข้างขึ้นมาแตะแก้มคุโรโกะอย่างนุ่มนวล ความร้อนผ่าวที่รู้สึกได้ผ่านทางฝ่ามือบอกเขาได้เป็นอย่างดีว่าคุโรโกะกำลังเขิน ช่างน่ารักอะไรแบบนี้...
“เหตุผลที่ฉันเก็บมันไว้...” แนชค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วลงที่พวงแก้ม “ก็เพื่อนาย... และเพื่ออนาคตของนายยังไงล่ะ”
“เพื่ออนาคตของผม...” แม้ไม่เข้าใจ คุโรโกะก็ทวนคำด้วยพวงแก้มที่เริ่มร้อนผ่าว
“อนาคตของมนุษย์มันต้องใช้เงินแลกใช่ไหมล่ะ”
“นะ...นั่นมันก็” คุโรโกะก้มหน้าอย่างลังเล “แล้วทำไมคุณต้องเก็บเงินไว้มากมายขนาดนั้นเพื่อผมด้วยล่ะครับ”
ในเมื่อเราทั้งสองคนไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย...
แนชหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของคุโรโกะ
“เรื่องนั้นเป็นความลับ”
“เอ๊ะ?”
“เอาล่ะ เรามาถึงแล้ว”
“เอ๊ะ? เอ๊ะ?!”
เหมือนอารมณ์ทุกอย่างถูกตัดขาดสะบั้นในฉับเดียว อยู่ๆ แนชก็จบบทสนทนาอย่างกะทันหัน ก่อนจะจับข้อมือบางให้เดินตามไปด้วยกัน คุโรโกะมองหน้าแนชด้วยแววตาแตกตื่น ในขณะที่ถูกอีกฝ่ายพาเข้าไปในร้านแปลกๆ อย่างงงๆ
แนชผลักบานกระจกที่มีตัวหนังสือลวดลาย ‘รับสักและเจาะ’ ติดอยู่ตรงบานประตูเพื่อเข้าไปด้านใน คุโรโกะเดินตามคนร่างสูงไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก คนร่างบางแหงนหน้ามองไปรอบๆ เขาเห็นภาพถ่ายมากมายที่แปะอยู่ตรงผนัง มันเป็นภาพรอยสักมากมายที่มีทั้งแบบสวยๆ แปลกประหลาด และน่ากลัวปนเปกันไป ซึ่งคาดว่าภาพถ่ายเหล่านี้น่าจะเป็นภาพถ่ายของเหล่าลูกค้าที่พากันมาใช้บริการที่ร้านแห่งนี้
แต่ว่า...ร้านรับสักและเจาะงั้นหรอ...
“อะ...เอ่อ คุณแนชครับ” ร่างบางกระตุกชายเสื้อแนชเบาๆ ด้วยใบหน้ากลัวๆ แต่แล้วเสียงของใครคนหนึ่งก็ขัดขึ้น
“สนใจจะเจาะหรือสักครับ?”
เสียงพูดดังมากจากทางหลังร้าน ก่อนที่ร่างของใครบางคนจะปรากฏตัวขึ้น คุโรโกะที่แอบอยู่ข้างหลังแนชค่อยๆ ยื่นหน้าออกมา แล้วเขาก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งดูท่าทางน่ากลัวซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้าน เขาเป็นคนผิวสีและมีร่างกายออกล่ำๆ
“พอจะมีแบบสวยๆ ให้ดูไหม?” แนชถามอย่างเป็นกันเอง ราวกับว่าเขาเคยมาร้านทำนองนี้บ่อยๆ
“แน่นอนครับ”
แล้วผู้ชายคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านก็หยิบสมุดบางอย่างขึ้นมาเปิดให้แนชดู คนร่างสูงพลิกหน้ากระดาษดูลวดลายต่างๆ ที่อยู่บนหน้ากระดาษ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีมือเล็กๆ ของใครบางคนกำลังสะกิดเขาจากทางด้านหลัง
แนชหันมายิ้มบางๆ ให้แก่คนตัวเล็ก ก่อนจะลูบเรือนผมสีฟ้าครามอย่างเอ็นดู สัมผัสอันนุ่มนวลของฝ่ามือแข็งแรงข้างนั้นราวกับเป็นการบอกคุโรโกะทางอ้อมว่าไม่มีอะไรต้องกลัว
“นายไปเดินดูรอบๆก่อนก็ได้”
เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร คุโรโกะจึงพยักหน้าลงรับคำ ก่อนจะเดินออกไปดูรอบๆ ตามที่แนชบอก
แต่คุโรโกะก็ไม่รู้ว่าจะมองไปตรงไหน ในเมื่อมีภาพรอยสักแปลกๆ อันน่าขนลุกที่ปรากฎอยู่ทั่วทุกตำแหน่งบนผิวเนื้อมนุษย์กระจายอยู่ทั่วร้านเต็มไปหมด ยิ่งมองนานๆ ก็ยิ่งรู้สึกน่าขนลุก คนตัวเล็กจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วหันไปสนใจอย่างอื่นแทน
แล้วทันใดนั้นเองลูกค้าคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังร้าน เขาดูเป็นผู้ชายที่ปกติและไม่มีรอยสักหรือเจาะใดๆ ตามร่างกาย แต่ทว่าเมื่อเขาเดินผ่านคุโรโกะ ผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร ทำให้คุโรโกะได้เห็นชัดเจนว่าปลายลิ้นของผู้ชายคนนั้นถูกหมุดฝังอยู่หลายจุดบนลิ้น แถมหูของเขาทั้งสองข้างยังเต็มไปด้วยหมุดและต่างหูห่วงมากมายจนแทบไม่มีที่ว่างอีก
คุโรโกะยิ้มแหย แต่ในใจเต้นระรัวด้วยความกลัว ก่อนที่คุโรโกะจะรีบจ้ำเท้าไปหาแนชทันที เขารู้สึกไม่ชอบที่นี่เอาซะเลย อยากออกไปเร็วๆจัง...
“ค...คุณแนชครับ คือว่า....”
“โอ๊ะ มาพอดีเลยเท็ตสึยะ ช่วยเอียงหน้าหน่อยสิ”
“เอ๊ะ?”
ไม่ทันที่คุโรโกะจะได้ตอบ แนชก็ถือวิสาสะจับใบหน้าหวานเอียงไปด้านข้างอย่างนุ่มนวล ดูเหมือนว่าสิ่งที่คนร่างสูงให้ความสนใจจะไม่ใช่ใบหน้า แต่ว่าเป็นหูของเขาเอง
“น่าจะได้อยู่” แนชพึมพำขณะลูบที่ติ่งหูของคุโรโกะเบาๆ ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือลงมาสัมผัสที่ต้นคอขาวบาง พลางไล้ปลายนิ้วลงที่รอยกัดเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือลงมาที่เอวบอบบาง “เท็ตสึยะ ช่วยเปิดเสื้อนายขึ้นหน่อยสิ”
“เอ๊ะ?!” คำขอที่ไม่คาดคิดอีกคำถามทำให้คุโรโกะงงเป็นไก่ตาแตก ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะยื่นมือไปจับเสื้อตัวเองไว้มั่นตามสัญชาตญาณ อยู่ดีๆ ก็มาบอกให้เปิดเสื้อขึ้นแบบนี้ ใครมันจะโง่ไปบ้าจี้ทำตามกันเล่า! แถมยังต่อหน้าคนแปลกหน้าอย่างเจ้าของร้านคนนี้อีก
คุณแนชคิดอะไรอยู่เนี่ย...
“เอาน่า อย่าคิดมากสิ” แนชเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ประหนึ่งกำลังรู้ว่าคุโรโกะคิดอะไร
“ตะ...แต่ว่า”
“ฉันแค่อยากจะดูว่ารอยกัดที่ท้องมันจางลงไปบ้างหรือยังแค่นั้นเอง”
แม้คำพูดคำจาจะดูอ่อนโยน ทว่าฝ่ามือที่จับเสื้อเข้าไว้กลับพยายามดึงขึ้นอย่างบังคับ ดวงตาสีฟ้าเข้มที่มองมาเหมือนมีอสรพิษร้ายมาขู่ฟ่ออยู่ข้างหู คุโรโกะมองแนชอย่างหวาดหวั่น ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธผู้ชายคนนี้ได้เลยแม้เพียงสักครั้ง แล้วจะเหลือทางไหนให้เขาปฏิเสธได้อีกล่ะ...คุโรโกะเม้มริมฝีปากล่างเบาๆ เพื่อนสะกดกลั้นความอาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความลำบากใจ...
“เข้าใจแล้วครับ...”
...ช่างเป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจจริงๆ
จากนั้นคุโรโกะก็ค่อยๆ เปิดเสื้อตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ โดยพยายามไม่เปิดสูงมากและไม่เปิดให้เห็นหน้าท้องทั้งหมด แค่เปิดพอให้เห็นแผลรอยเขี้ยวบนหน้าท้องข้างๆ สะดือเท่านั้น
“อืม...” แนชไล้ปลายนิ้วลงบนรอยกัดนั้นอย่างแผ่วเบา สำหรับคุโรโกะ...เขาไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้แผลเป็นมันจางไปแค่ไหน เพราะเขาแทบจะไม่ให้ความสนใจมันเลย ไม่สิ...ความจริงตัวเขาแค่ทำเป็นมองไม่เห็นมันมากกว่า
“ตรงนี้สักทับรอยแผลเป็นได้ใช่ไหม?” แนชหันไปพูดกับเจ้าของร้าน อีกฝ่ายยื่นหน้าออกมาเพื่อจะดูได้ถนัดๆ ก่อนจะพยักหน้าลงเบาๆ
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าคุณลูกค้าชอบแบบไหน แนวกราฟิก เทพนิยาย แปลกๆ หรือแล้วแต่ตามแบบที่เจ้าตัวต้องการ”
แนชยืนขึ้น แล้วหันไปให้ความสนใจกับลวดลายต่างๆ ที่อยู่บนสมุดต่อ คุโรโกะจึงเอาชายเสื้อตัวเองลง คนร่างสูงยืนเลือกสักพัก ก่อนจะตัดสินใจจิ้มไปที่รูปบางอย่างบนหนังสือ
“เอาลายนี้ ไม่ต้องสักตรงมากก็ได้นะ เอาให้มันเอียงๆ ได้องศากับสะดือนิดหนึ่ง จะได้ออกมาสวยๆ ส่วนแผลเป็นรอยกัดตรงคอก็เอาลายนี้ ออกแบบได้ตามสะดวกแต่ขอให้ออกมาสวยๆ ล่ะกัน”
“เข้าใจแล้วครับ”
การสนทนาอันแปลกประหลาดทำให้คุโรโกะเอียงคออย่างไม่ค่อยเข้าใจ แนชหันมายิ้มอ่อนโยนให้คนตัวเล็ก ก่อนจะวางฝ่ามือลงที่หลังของคุโรโกะอย่างนุ่มนวล
“ไปสิ เท็ตสึยะ” คนร่างสูงพยักพเยิดหน้าไปทางเจ้าของร้านที่เดินผ่านม่านเข้าไปยังด้านหลังร้าน เหมือนเป็นการบอกคนตัวเล็กทางอ้อมว่าให้เดินตามไป
“เอ๊ะ?”
คุโรโกะร้องออกมาเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อลองคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อย่างถี่ถ้วนอีกรั้ง ร่างบางก็ต้องดวงตาเบิกโพรงด้วยความตกใจถึงขีดสุด
“นี่คุณพาผมมาสักหรอครับ?!”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วครั้นได้ยินคำถามเช่นนั้น ไม่คาดคิดว่าคุโรโกะเพิ่งจะมารู้ตัวเอาป่านนี้
“ก็ใช่น่ะสิ” เขาหัวเราะเบาๆ กับความเปิ่นอันน่ารักแบบใสซื่อของคนตัวเล็ก “แถมเจาะหูด้วยนะ”
“อะ...เอาจริงหรอครับ!”
คิดแล้วมันก็น่าโมโหตัวเองนัก! โดนพาเข้าร้านมาตั้งขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก ก็ตอนแรกเขานึกว่าแนชจะสักเองนี่ จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยเห็นรอยสักแนชแบบเต็มๆ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าอีกฝ่ายจะพาเขามาเริ่มเดตใสถานที่แบบนี้...
นอกจากจะเป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจแล้วยังเป็นผู้ชายที่ดิบเถื่อนอีก...
“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก โดยเฉพาะเจาะหู นายจะได้เหมือนฉันไง” ว่าแล้วแนชก็จิ้มเบาๆ ที่ต่างหูห่วงเงินสองอันบนใบหูข้างซ้าย ซึ่งเหมือนใบหูข้างขวาเปี๊ยบ คุโรโกะมองมันด้วยสีหน้าซีดเผือดกว่าเก่า ก่อนจะทำหน้ายู่ราวกับเด็กงอแง
“ผมไม่อยากเจ็บนี่ครับ... ช่วยบอกเขาให้ทำแบบเบาๆได้ไหม?”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างเอ็นดู “จริงอยู่ว่ามันเจ็บ แต่พอนายเห็นรอยสักที่ทำเสร็จแล้ว ความเจ็บปวดมันก็จะเปลี่ยนเป็นความรู้สึกพึงพอใจ บางครั้งความสวยงามก็ต้องใช้ความเจ็บเข้าแลกนะ อดทนแค่แปบเดี๋ยว”
“แล้ว...คุณเลือกลายใหญ่มากไหมครับ ผมกลัวว่าถ้าลายสักมันใหญ่ มันก็คงจะเจ็บมากทีเดียว...”
“ก็ลายใหญ่อยู่นะ แถมผิวหนังตรงหน้าท้องกับคอก็ไม่ค่อยหนามาก แปลว่าน่าจะเจ็บมากทีเดียว” อีกฝ่ายพูดอย่างยิ้มๆ ทำให้คนตัวเล็กเริ่มทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อได้ยินคำขู่แบบนั้น
“คุณแนช...” คุโรโกะพูดเจือเสียงกลัวๆ
“แต่เจาะหูมันไม่เจ็บมากหรอก อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆ ตั้งเรื่องนึงไม่ใช่หรอ?”
“ช่วยได้มากเลยครับ” คุโรโกะเอ่ยอย่างประชดประชันด้วยใบหน้างอนๆ แต่ในเมื่อคิดว่าคงไม่มีทางให้เลือกมาก คนร่างบางจึงตัดสินใจยอมรับในชะตากรรมของตน
คุโรโกะมองหลังม่านซึ่งคาดว่าน่าจะมีเจ้าของร้านรออยู่ข้างหลังพร้อมกับอุกปรณ์สักมากมายอันน่ากลัว ใบหน้าหวานแสดงสีหน้าลำบากใจ เขานับเลขในใจซ้ำๆ เพื่อปลุกความกล้า ก่อนจะกลั้นใจก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
...บางทีคงไม่เจ็บมากหรอก...
...
...
...
.
.
.
.
.
“ฮึก...”
หลังจากนั้นคนตัวเล็กถึงกับเดินน้ำตาเล็ดออกมาด้วยใบหน้าที่มีแต่ความเจ็บปวด คุโรโกะรีบตรงดิ่งเข้าไปกอดแนชทันที พลางซุกหน้าลงไปบนแผงอกแกร่งนั้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบหน้าด้วยความเจ็บ ในตอนนี้ใครจะว่าเขาอ่อนแอหรือเจ้าน้ำตาก็ไม่สนใจแล้ว! นี่มันสักเชียวนะ!! เอาเข็มมาจิ้มๆ เราจนเลือดออกเป็นจุดๆ แถมลายสักก็ไม่ได้เล็กอะไรเลย แถมต้องสักทั้งต้นคอทั้งหน้าท้อง เขาทนได้จนจบก็เก่งแค่ไหนแล้ว!
“โอ๋ๆนะ” แนชพูดเบาๆ
คนร่างสูงมองคนร่างบางในอ้อมอกด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะลูบหัวเบาๆ ราวกับเป็นการให้กำลังใจ โดยส่วนตัวแล้วแนชชอบเห็นคุโรโกะเป็นแบบนี้มากกว่า ไม่รู้สิ...เวลาเห็นคนร่างบางร้องไห้แล้วก็แสดงท่าทางเจ็บปวด มันทำให้เขารู้สึกเร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
คุโรโกะช้อนตามองแนชอย่างโกรธๆ พอตัวเองเริ่มเจ็บก็เริ่มพาลว่าเพราะใครตัวเองถึงต้องเจ็บ ซึ่งเหตุผลที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากผู้ชายขี้โกงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้!
“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าตาแบบนั้นสิ” คนร่างสูงพูดอย่างเอ็นดู พลางใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาบนแก้มให้อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วเรียวเชยปลายคางมนขึ้น ก่อนจะโน้มหน้าไปจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผากทีนึง แม้จะไม่มากแต่ก็ทำให้คุโรโกะรู้สึกแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
...คุณแนชขี้โกงที่สุด...
“ไหนขอดูรอยสักหน่อยสิ”
คนร่างสูงเอ่ยอย่างอ่อนโยน พลางจับใบหน้าหวานให้เอียงคอน้อยๆ ซึ่งคนตัวเล็กก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่เพราะเป็นรอยสักแถวต้นคอ และเสื้อที่คุโรโกะสวมอยู่เป็นชุดนักเรียน จึงทำให้เห็นรอยสักไม่ชัดเจนนัก ทว่าครั้นดวงตาคมสีฟ้าเข้มเห็นรอยสักรูปผีเสื้อบนลำคอของคุโรโกะ ชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กๆ ด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะออกมางดงามขนาดนี้...
ลำคอขาวเนียนอันแสนบอบบางเข้ากับรอยสักรูปผีเสื้อได้อย่างงดงาม รอยสักรูปผีเสื้อที่กางปีกออกราวกับกำลังยั่วยวนดอกไม้ ช่วยทำให้คุโรโกะที่ดูอ่อนแอกลายเป็นคนที่ดูมีความเซ็กซี่แบบใสซื่อบริสุทธิ์ ครั้นไล้ปลายนิ้วมือสัมผัสก็รู้สึกถึงความเย้ายวนที่ส่งกลิ่นหอมออกมา มันแสดงความงดงามและความเซ็กซี่ออกมาจนเขานึกอยากจะฝังเขี้ยวลงไปให้สาแก่ใจ บางทีรอยสักรูปผีเสื้อที่มีหยาดโลหิตเปรอะเปื้อนมันอาจงดงามจนแทบลืมหายใจเลยทีเดียว
“ค...คุณแนชครับ จ้องมากไปแล้ว...” เพราะถูกสายตาคู่นั้นโลมเลีย คุโรโกะจึงค่อยๆ เอียงหน้าหนีด้วยความเขินอาย พลางใช้มือผลักแผงอกแกร่งออกเบาๆ
คนร่างสูงสะดุ้งเล็กๆ เมื่อรู้สึกว่าตนเองมัวแต่จ้องคนตัวเล็กมากไป ก่อนที่ริมฝีปากหยักได้รูปจะเหยียดยิ้มเบาๆ อย่างนึกสนุก ปลายนิ้วปัดผมหน้าที่ปรกกน้าผากคุโรโกะขึ้น ดวงตาสีฟ้าเข้มที่จ้องมองมาทำให้คุโรโกะรู้สึกแปลกๆในใจอย่างบอกไม่ถูก...
“ฉันนี่ใจร้อนจริงๆ ให้ตายเถอะ” แนชพูด “เรื่องสนุกก็ต้องเก็บไว้ทำทีหลังสุดสินะ”
คำพูดอันมีความหมายแฝงมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้คนตัวเล็กต้องเผลอหลบสายตาด้วยความรู้สึกหวั่นใจ เขากำลังจะอ้าปากเพื่อเอ่ยถาม ทว่ายังไม่ทันที่คุโรโกะจะได้พูดอะไร คนร่างสูงก็หันไปยื่นบัตรเครดิตให้เจ้าของร้านเสียแล้ว
“ที่นี่รับการ์ดไหม?”
“รับครับ”
ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีช่องว่างใดๆ ให้คุโรโกะได้เอ่ยแทรกเข้าไปได้เลย คนตัวเล็กจึงแอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความหน่ายใจ ก่อนจะขอตัวออกไปรอข้างนอกร้าน เพราะไม่อยากอยู่ในสถานที่น่ากลัวที่มีแต่ภาพน่าขนลุกพวกนี้นานๆ แถมตัวเขาเองก็ยังรู้สึกเจ็บนิดหน่อยบริเวณผิวหนังที่ถูกสักเมื่อกี้ด้วย
คนตัวเล็กก้าวเท้าเดินออกมายังข้างนอกร้าน ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองท้องฟ้าเล็กน้อย เวลาในตอนนี้ล่วงเลยจนมาถึงยามเย็น ท้องฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นจางๆ พร้อมกับเมฆที่ดำครึ้มคล้ายลักษณะของเมฆฝน ดูท่าทางว่าคืนนี้ฝนน่าจะตกหนักเป็นแน่
จะว่าไปเขาก็โดดเรียนออกมาโดยไม่ได้บอกใครเลย จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ...
“จะกลับบ้านเลยไหม?”
“เอ๊ะ?”
คนร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของคุโรโกะเบาๆ คนตัวเล็กช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“แต่ว่าตอนแรกคุณบอกว่าเราจะไปเดตกันไม่ใช่หรอครับ?”
“ก็น่าเสียดายอยู่ แต่ว่าตอนนี้ฝนมันใกล้จะตกแล้ว แถมนายยัง...” คนร่างสูงเหลือบมองคุโรโกะ “แถมนายยังดูเหมือนกำลังเป็นห่วงอะไรบางอย่าง...”
“...”
“กลัวอาคาชิอย่างงั้นหรอ?”
คุโรโกะยิ้มแบบฝืดๆ “คงจะแบบนั้นล่ะมั้งครับ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก”
“...”
“ด้วยเหตุผลบางอย่างผมรู้สึกไม่อยากกลับเลย...”
“...”
“ไม่อยากกลับไปเจอคนที่ใจร้ายกับผม ไม่อยากกลับไปเจอบรรยากาศน่าอึดอัดเดิมๆ จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกครับที่ใจร้ายกับผม แต่ว่า...”
“...”
“ไม่ว่ายังไง...วันนี้ผมก็ไม่อยากกลับจริงๆ”
“...”
“ผมอาจจะต้องไปเจอเรื่องโหดร้ายแบบนั้นอีกครั้ง...”
‘ไม่เอา! ไม่นะ!! ฮึก...ไม่!!!’
‘อาโอมิเนะคุง...ฮึก...ผมเจ็บ หยุดเถอะครับ...มันเข้าไม่ได้หรอก...’
‘อ๊า!!!’
“และที่สำคัญกว่านั้น...”
คุโรโกะเงยหน้ามองแนช ดวงตากลมสั่นระริกครั้นสบกับดวงตาคมสีฟ้าคู่นั้น มือบอบบางกำชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น ในใจลึกๆ รู้สึกหวาดกลัวว่าคนร่างสูงจะหายตัวไปแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียวอีก...
“ถ้าเกิดว่าเราจากกันตรงนี้... แล้วเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ล่ะครับ...”
“...”
“คุณจะหายตัวไปอีก แล้วทิ้งให้ผมอยู่กับความรู้สึกทรมานแบบนี้ต่อไปหรอครับ...”
มือบอบบางทั้งสองข้างสั่นระริก รู้สึกไม่มีควากล้ามากพอที่จะเอ่ยพูดให้จบประโยค ยิ่งเขาได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงราบเรียบเย็นชา คุโรโกะก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างยากเหลือเกินในการที่จะเหนี่ยวรั้งผู้ชายคนนี้ไว้ แต่ด้วยความคิดถึงในใจที่แสนหนักอึ้งจนทรมาน มันจึงเป็นความกล้าเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขากล้าถามแบบนั้นออกไป...
“คุณจะทิ้งผมไปอีกแล้วใช่ไหมครับ?”
“...”
“จะทิ้งผมไปโดยไม่บอกอะไรอีกแล้วใช่ไหม...”
“...”
คุโรโกะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นมันเห็นแก่ตัวหรือไม่ แต่เขาคงทนอยู่แบบนี้นานต่อไปไม่ไหวแล้ว ยิ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับอาคาชินานเพียงใด คำถามมากมายก็พากันตีเข้ามาในหัวเขาไม่ยอมหยุด คุโรโกะเริ่มสงสัยว่าตกลงแล้วตัวเองเป็นอะไรกันแน่ และผู้หญิงที่ชื่อเท็ตสึยะคนนั้นเธอเป็นคนยังไง อาคาชิจบชีวิตเธอไปแล้วจริงหรือ แล้วฆ่าเธอไปด้วยวิธีใด แล้วทั้งๆ อย่างนั้นทำไมอาคาชิถึงต้องผูกมัดตัวเขาไว้ราวกับนักโทษที่รอประหารด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้คุโรโกะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยที่จะหาคำตอบแล้ว ทุกเรื่องราวและปริศนามันตอกย้ำเขาทุกวี่วันว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่อาจด้วยเพราะชะตากรรม หรือเป็นเพราะแผนการของใครบางคน... เรื่องทั้งหมดมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้...
เพราะแบบนั้น...เขาถึงได้อยากให้แนชอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากเรื่องพวกนั้นเสียที...
ครั้นได้ฟังความอัดอั้นใจที่ออกมาจากปากของคุโรโกะ แนชเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งเรียบ ปลายนิ้วเรียวแข็งแรงไล้สัมผัสพวงแก้มขาวซีดอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วมือมาสัมผัสที่ปลายคางมน ทันใดนั้นเองรอยยิ้มอ่อนโยนก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา
“ในเมื่อไม่อยากให้ฉันไป งั้นฉันก็จะไม่ไปก็ได้”
“เอ๊ะ...”
“กลัวว่าฉันจะทิ้งนายไปอีกอย่างงั้นสินะ...”
คุโรโกะพยักหน้าเบาๆ ทำให้แนชคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เห็นนายเป็นแบบนี้แล้ว ฉันคงไม่ใจร้ายขนาดทิ้งนายได้ลงคอหรอก”
คำพูดของคนร่างสูงทำให้คนตัวเล็กรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เขารีบเงยหน้ามองแนชทันทีด้วยดวงตาระยิบระยับ ราวกับเป็นคำถามว่าที่พูดมานั่นเป็นความจริงใช่ไหม ซึ่งแนชก็สามารถอ่านใจคนตัวเล็กออกได้อย่างไม่ยากเย็น เขาพยักหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลูบเรือนผมสีฟ้าครามอย่างเอ็นดู
“ในเมื่อนายไม่อยากกลับ งั้นฉันก็จะอยู่กับนายทั้งวันเลย แค่นี้ก็ไม่น้อยใจแล้วใช่ไหม”
คนตัวเล็กพยักหน้าระรัวด้วยรอยยิ้มหวาน รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันตา คนร่างสูงได้เห็นแบบนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบลอบยิ้มบนมุมปาก ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆ เคลื่อนมากระซิบที่ข้างหู
“วันนี้ฉันจะทะนุถนอมนายทั้งวันเอง เวลาวันนี้ของฉันทั้งหมดเป็นของนายแล้วนะ”
ใบหน้าหวานพลันเขินจัดครั้นได้ยินคำพูดสื่อความนัยแบบนั้น คุโรโกะพยักหน้ารับยินยอมเบาๆ เพราะคิดว่าคำว่าทะนุถนอมนั้นคือ ‘การดูแล’ ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปจับมือแนชไว้อย่างแนบแน่น
“ไม่ทิ้งผมจริงๆนะครับ” คำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรนอกจากคำสัญญา ทำให้คนร่างสูงเผลอยิ้มระเหี่ยใจน้อยๆ กับเด็กขี้เหงาและหวาดระแวงตรงหน้าคนนี้
“สัญญาด้วยชีวิต”
เพียงแค่นั้นก็มากเพียงพอที่จะทำให้คนตัวเล็กกลับมายิ้มอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยหม่นหมองพลันกลับมาสดใสขึ้นประหนึ่งทานตะวันใต้แสงแดด คนร่างสูงเหลือบสายตาขึ้นมองท้องฟ้าน้อยๆ ก่อนจะรีบพาคุโรโกะออกเดินไปตามถนนยามเย็นด้วยกัน
“ฝนจะตกแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”
“อ๊ะ! ครับ”
“นี่ เท็ตสึยะ”
“มีอะไรหรอครับ?”
คุโรโกะเอียงคอถามด้วยรอยยิ้ม คนร่างสูงมองรอยยิ้มแสนใสซื่อนั้นด้วยดวงตาวูบไหวไปชั่วครู่...
...เขาจะรักษารอยยิ้มแบบนี้ไว้ได้นานแค่ไหนกันนะ...
“ที่ผ่านมาต้องขอโทษจริงๆ ที่ทิ้งนายไว้คนเดียวมาตลอด” ทันใดนั้นเองฝ่ามือหนาก็บีบมือคุโรโกะเบาๆ อย่างห่วงใย“แต่ว่ามันจะไม่มีอีกแล้ว...”
“เอ๊ะ?”
คำพูดนั้นมีความหมายแฝงอะไรหรือเปล่านะ...คุโรโกะคิดในใจในขณะที่เอียงคอน้อยๆ ด้วยความสงสัย ด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจ คุโรโกะรู้สึกว่าในคำพูดนั้นมันทั้งหนักแน่นและมีความหมายแฝงบางอย่างที่ตัวเขาไม่อาจเข้าใจได้
“คุณแนชครับ นั่นมันหมายความว่ายังไงหรอครับ?”
“...”
“คุณแนชครับ?”
“เรื่องนั้นน่ะ...” ปลายนิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากอวบอิ่มเบาๆ “ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ”
คำพูดมีเลศนัยที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คุโรโกะต้องยอมพยักหน้ารับเข้าใจแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายที่จะก้มหน้างุดด้วยความเขินอายที่ถูกรอยยิ้มนั้นสะกดหัวใจไว้
...ทั้งที่คุณแนชดูเป็นผู้ชายเถื่อนๆ แท้ๆ แต่กลับทำตัวมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ได้แบบนี้ มันจะขี้โกงเกินไปแล้วนะครับ...
“เอ่อ...คุณแนชครับ”
“หืม?”
“คือผมอาจจะพูดช้าไปหน่อย แต่ว่าเรื่องที่พาผมมาสัก...” คุโรโกะคลี่ยิ้ม “ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณ? ตอนแรกยังเห็นทำท่าโกรธอยู่เลยที่พามา” ชายหนุ่มหลุดขำเบาๆ
คุโรโกะยิ้มเจื่อนๆ “ตอนแรกผมก็กลัวนะครับ แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้ว่ารอยกัดแผลเป็นตรงต้นคอมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงที่มาของมัน มันเป็นรอยตำหนิน่ารังเกียจ...แต่มันก็กลายเป็นเครื่องเตือนใจเมื่อตอนที่ผมรู้สึกกลัวไปแล้ว แต่ผมก็รู้สึกรังเกียจตัวเองที่มีรอยกัดอันน่าขยะแขยงสลักอยู่บนร่างกาย และบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลย...”
“...”
“แต่พอคุณพาผมมาสัก...แน่นอนครับว่ารอยกัดมันไม่ได้หายไปหรอก มันแค่มีภาพที่สวยงามมาประทับแทนที่ก็เท่านั้น แต่ว่าอย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้ผมไม่ต้องมารู้สึกเศร้าเสียใจกับมันอีกแล้ว”
“...”
“ขอบคุณมากนะครับ”
แม้อาจไม่ใช่คำพูดที่ดูใหญ่โตอะมากมาย แต่มันก็คือคำพูดจากใจที่ออกมาจากความรู้สึกอันใสบริสุทธิ์ของคุโรโกะจริงๆ ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มเหลือบมองเด็กน้อยด้วยแววตาอ่อนโยน พลางคลี่ยิ้มบางๆ รับคำขอบคุณของคุโรโกะ ก่อนที่เขาจะกระชับฝ่ามือเล็กอันบอบบางอย่างแนบแน่นด้วยความทะนุถนอม
“ด้วยความยินดี”
ระหว่างนั้นเอง...
“ให้ตายสิ ฝนตกลงมาจนได้”
อาคาชิอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอย่างหน่ายใจครั้นเม็ดฝนโปรยปรายลงมา ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า สายฝนที่ตกลงมาจากแบบปอยๆ พลันแปรเปลี่ยนเป็นฝนห่าใหญ่ในทันที เหล่ามนุษย์มากมายที่เดินกันขวักไขว่ต่างพากันหยิบร่มขึ้นมา แต่ก็มีบ้างบางคนที่ไม่ได้พกมาจึงต้องรีบวิ่งหาที่หลบฝนกันยกใหญ่
คิ้วเรียวโก่งสีแดงขมวดเข้าหากัน ไม่ว่าจะมองไปที่ใดก็เห็นเพียงแค่ร่มมากมายหลากสีสันที่กางออก ยิ่งฝนตกหนักผู้คนก็ยิ่งก็กระชับร่มในมือบังหน้าตัวเองมากขึ้น ทำให้ยากต่อการตามหาตัวคุโรโกะมากขึ้นไปอีก แถมเพราะฝนที่ตกลงมาจึงทำให้เขาไม่สามารถตามหาคนตัวเล็กด้วยการตามกลิ่นได้ แถมจมูกเขาก็ไม่ได้ดีเท่าอาโอมิเนะด้วย และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือหมู่ฝูงชนที่มากขนาดนี้ทำให้ประสาทสัมผัสค้างคาวของเขาเริ่มสับสน เขาไม่สามารถใช้วิธีการของเขาหาตัวคุโรโกะท่ามกลางคนเยอะขนาดนี้ได้แน่...
ที่สุดท้ายคือที่คุโรโกะอยู่คือที่นี่งั้นหรอ...
แวมไพร์หนุ่มแหงนมองไปรอบกาย รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยจากละอองฝนที่เปียกชื้นตามเสื้อผ้า คนมากมายกำลังเดินผ่านเขาไปอย่างเร่งรีบ บ้างก็ชนไหล่เขาโดยไม่ขอโทษตามนิสัยของชาวญี่ปุ่นที่เร่งรีบและเห็นเวลาเป็นสิ่งมีค่า ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวหรอกที่อาคาชิไม่อยากอยู่ท่ามกลางมนุษย์...
แต่ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณฝนพวกนี้ที่ไม่ทำให้เขารู้สึกหน้ามืดตามัวเพราะกลิ่นหอมหวนของเลือดมนุษย์ที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศ
...ทำให้ฉันต้องลำบากขนาดนี้ เจอตัวเมื่อไหร่จะจับลงโทษซะให้เข็ด...
ถึงจะคิดแบบนั้น... แต่สีหน้าและท่าทางที่แสดงออกมากลับตรงกันข้าม อาคาชิก้าวเท้าเหยียบน้ำฝนไปตามทาง โดยที่หันหน้าไปมาเพื่อมองหาคนตัวเล็กด้วยสีหน้าที่มีแต่ความกังวล
“เท็ตสึยะ...นายหายไปไหน...”
เสียงพูดที่แผ่วเบาถูกสายฝนกลบเสียงจนแทบไม่ได้ยิน แต่ว่าเพราะแบบนั้นมันจึงทำให้อาคาชิไม่ทันได้รู้ตัวเลย...ว่าเสียงของตัวเองยามที่เอ่ยชื่อคุโรโกะมันเต็มไปด้วยความห่วงใยมากแค่ไหน... ดวงตาข้างขวาที่พยายามสอดส่องมาหาคนตัวเล็กมีแต่ความกังลวลและความกลัวอย่างที่ตัวอาคาชิไม่เคยเป็น...
หรือว่านายจจะทิ้งฉันไปจริงๆ
สิ่งที่อาคาชิกลัวที่สุดแวบเข้ามาในหัว ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ นั่นออกไป พยายามปฏิเสธกับตัวเองว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางที่คุโรโกะจะหนีเขาไปอยู่แล้ว เด็กคนนั้นไม่มีใคร ไม่เหลือใครอีกแล้ว และไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว ดังนั้นไม่มีทางที่คุโรโกะจะหนีเขาไปได้หรอก ทางเลือกเดียวของคุโรโกะมีเพียงแค่ต้องกลับมาหาเขาเท่านั้น...
...ตราบใดที่เท็ตสึยะไม่มีคนให้พึ่งพา เท็ตสึยะก็ไม่มีทางหนีจากเขาไปได้หรอก...
เพราะฉะนั้นขอร้องล่ะ
‘ได้โปรดอย่าหนีฉันไปเลย...’
ในตอนนั้นเองโดยที่อาคาชิไม่ทันได้รู้สึกตัว...
“เท็ตสึยะไหวไหม?”
“ผมไม่เป็นไรครับ แค่ฝนเอง”
“ฉันจะรีบพานายไปหาที่หลบ”
แนชจับมือคุโรโกะแน่นขึ้นระหว่างพาคนตัวเล็กฝ่าสายฝนไปหาที่หลบด้วยกัน ทว่าตอนนั้นคุโรโกะไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเขากำลังค่อยๆ เดินผ่านอาคาชิไปอย่างไร้เยื่อใยราวกับคนแปลกหน้ากัน... ทั้งอาคาชิและคุโรโกะไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าพวกเขาเพิ่งจะเดินสวนกันไปโดยมีเพียงแค่มนุษย์คนเดียวที่คั่นกลาง
ทว่ากลับมีเพียงแค่ ‘เขา’ เท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินผ่านใครไป...
แนชยกยิ้มมุมปากอย่างมีชัยระหว่างที่เดินผ่านอาคาชิมา เขาเหลือบสายตากลับไปมองอีกฝ่ายยน้อยๆ ด้วยแววตาหยามเหยียดในขณะที่ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย แนชหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างสาแก่ใจ ก่อนจะค่อยๆ โอบไหล่บางของคุโรโกะเข้าหาตัวประหนึ่งกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ...
แสดงความเป็นเจ้าของต่อคนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังสูญเสียของสำคัญไป
...
...
...
.
.
.
.
.
หลังจากนั้นไม่นาน แนชพาเขาเข้าไปหลบฝนในโรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองซึ่งมีความหรูหราระดับห้าดาว คุโรโกะก็บอกอีกฝ่ายไปแล้วว่าที่ฉุกเฉินแค่ใช้หลบฝนไม่จำเป็นต้องแพงขนาดนี้ก็ได้ เอาแบบธรรมดาก็พอ แต่แนชก็ให้เหตุผลกับเขาว่า ‘อยากนอนบนเตียงกว้างๆมากกว่า’
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่คนร่างบางก็พยักหน้าเข้าใจด้วยรอยยิ้มแบบงงๆ และเพราะแบบนั้นคุโรโกะจึงไม่กล้าเถียงอะไร แถมเรื่องค่าใช้จ่ายแนชเองก็เป็นคนออกให้ด้วย ฉะนั้นเขาคงไปทักท้วงอะไรมากไม่ได้หรอก
เมื่อพวกเขามาถึงยังห้องพัก คนตัวเล็กก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ ห้องนอนในโรมแรมหรูมันเหนือความคาดหมายของเขาไปมากเลยทีเดียว เตียงไซส์ใหญ่ที่ดูนุ่มน่านอนมีผ้าขนหนูที่ถูกพับเป็นรูปหงส์คู่วางอยู่ตรงปลายเตียง และสิ่งของประดับตกแต่งมากมายรอบห้องที่ดูสวยงามหรูหรา และโรแมนติก เตียงถูกตั้งไว้ข้างกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่แทบทำหน้าแทนที่ผนังด้านหนึ่งของห้องนี้ เพราะมันเป็นหน้าต่างกระจกใสที่สามารถมองออกไปเห็นภายนอกได้ และมันก็ใหญ่มากเทียบเท่ากับผนังด้านหนึ่ง แต่มันเป็นกระจกชนิดพิเศษที่เราสามารถมองเห็นภายนอกได้ชัดเจน แต่คนข้างนอกจะมองไม่เห็นเรา
สิ่งที่ดึงดูดสายตาของคนตัวเล็กมากที่สุดก็คือหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ตอนนี้มีแต่เม็ดฝนเกาะพราวตามเรือนกระจก คุโรโกะรีบตรงเข้าไปหามันทันทีด้วยความตื่นเต้น ฝ่ามือเล็กๆทั้งสองข้างแนบมือไปตามผิวกระจก สัมผัสเย็นๆ จากไอฝนทำให้คนตัวเล็กคลี่ยิ้มบางด้วยความรู้สึกเย็นสบาย คุโรโกะเหลือบสายตามองลงไปยังด้านล่าง ฝนยังคงตกหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ทำให้ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนคุโรโกะก็เห็นแค่ร่มหลายสีมากมายที่กางออก
ดวงตากลมโตไล่สายตามองทิวทัศน์เบื้องล่าง เขาเห็นผู้คนมากมายและรถที่สัญจรไปมา เห็นตึกมากมายที่อยู่รายล้อม ครั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองในระดับสายตา เขาก็เห็นท้องฟ้าสีเทาครึ้ม และเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา แม้จะเป็นภาพที่ดูมืดมน แต่คุโรโกะกลับรู้สึกว่ามันกลับมีความสวยงามอันน่าเศร้าเจืออยู่บนสายฝนเหล่านั้น...
“สวยจัง...” คุโรโกะพึมพำพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า
“ดีใจนะที่ชอบ” เสียงนุ่มทุ้มลึกดังข้างหู พร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่ถูกโยนลงมาวางแปะบนหัวเขา “แต่จะดีกว่านี้ถ้านายไปอาบน้ำก่อน ไม่ใช่อยู่ในสภาพตัวเปียกโชกแบบนี้”
ว่าแล้วคุโรโกะก็ก้มลงมองสภาพตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาเจื่อนๆ อย่างเถียงไม่ออก แต่เมื่อดวงตากลมโตเหลือบไปมองแนชบ้าง เขาก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขำขัน
“คุณแนชเองก็เปียกโชกเหมือนกันนะครับ”
“หืม?” แนชก้มมองตัวเอง “อ๊ะ...”
“คุณไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ” คนตัวเล็กเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน
แนชเลิกคิ้ว “ในสถานการณ์แบบนี้นายควรพูดว่าขอตัวไปอาบก่อนไม่ใช่รึไง?”
“ไม่เห็นต้องทำท่าหงุดหงิดแบบนั้นเลยนี่ครับ” คุโรโกะยิ้มบาง ก่อนจะยกผ้าขนหนูมาเช็ดเรือนผมตัวเองให้เปียกหมาดๆ “คุณทำเพื่อผมมามากพอแล้ว ฉะนั้นคุณไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ”
“แต่นายเป็นมนุษย์ ส่วนฉันไม่ใช่... นายจะป่วยได้ถ้านายไม่รีบอาบน้ำ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณไปเถอะ”
“...”
อาจเพราะไม่อยากขัดใจคุโรโกะ หรือเพราะอดทนต่อรอยยิ้มหวานกระแทกใจนั่นไม่ไหว สุดท้ายแนชก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะยักไหล่เหมือนบอกคุโรโกะว่า ‘งั้นฉันจะทำอย่างที่นายต้องการล่ะกัน’
“งั้นฉันจะไปอาบก่อนก็ได้ แต่ว่าอย่างน้อยนายต้องถอดเสื้อผ้าก่อน”
“เอ๊ะ?!”
คำสั่งที่ไม่คาดฝันทำให้คนตัวเล็กต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเปิดปากพูดเสียงสั่น
“ทะ...ทำไมหรอครับ?”
“ใส่ชุดเปียกๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก เอ้า!” เมื่อพูดจบ ชุดคลุมอาบน้ำขนาดกลางก็ลอยมาวางแปะบนเตียงนอน คุโรโกะเอียงคอมองแนชที่ตอนนี้กำลังค้นดูบางอย่างในตู้เสื้อผ้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำออกมาอีกชุด
“เอ่อ...”
...อะไรกัน ที่แท้ก็เป็นห่วงเราหรอกหรอกหรอ...
“คิดลึกอยู่หรอ?” แนชถามอย่างรู้ทันพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัยบนมุมปาก ทำให้คุโรโกะต้องรีบตอบปฏิเสธด้วยใบหน้าที่แดงจัด
“ปะ...เปล่าครับ มะ...ไม่ได้คิดสักหน่อย”
ท่วงท่าเขินอายบนเสื้อผ้าที่เปียกโชกจนแนบเนื้อช่างอีโรติกอย่างบอกไม่ถูก พวงแก้มขาวที่ขึ้นสีชมพูอ่อนทำให้คนร่างสูงไม่อาจหยุดสายตาตัวเองได้ เขาค่อยๆ ไล่สายตาต่ำลงมายังเนินอกของร่างบางที่ตอนนี้เม็ดไข่มุกสีชมพูนูนอยู่บนเสื้อที่เปียกชื้น เสียอย่างเดียวคือมันเป็นชุดนักเรียนที่มีเนื้อผ้าสีดำ ทำให้ไม่ค่อยเห็นหัวนมสีชมพูสวยได้ถนัดตานัก แต่ถึงกระนั้นมันก็ช่างเซ็กซี่เย้ายวนใจจนแนชรู้สึกอยากจะฉีกกระชากเสื้อผ้าพวกนั้นออกเหลือเกิน...
“แต่ใจจริงฉันอยากให้คิดนะ...” แนชพึมพำ
“เอ๊ะ เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีนี่”
“หืม?”
แนชไม่สนใจสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของคุโรโกะ เขาเดินมาจุ๊บที่หน้าผากคนตัวเล็กหนึ่งที ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดคลุมอาบน้ำ “ยังไงก็รีบถอดเสื้อผ้าเร็วๆ จะดีกว่านะ นายคงไม่อยากให้ฉันถอดให้ใช่ไหม?”
รอยยิ้มอันซุกซนทำให้คนตัวเล็กเขินจนหน้าแดงจัด คุโรโกะพองแก้มน้อยๆ ก่อนจะพยายามปฏิเสธด้วยน้ำเสียงโกรธๆ
“ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมถอดเองได้”
“เห...” แนชยักคิ้ว พลางยกยิ้มบนมุมปาก เหมือนถามด้วยสายตาว่าแน่ใจหรอ ทำให้คุโรโกะยิ่งรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนมากเข้าไปอีก
“เลิกแกล้งผมแล้วเข้าไปอาบน้ำสักทีเถอะครับ” คนร่างบางหันหน้าหนีอย่างงอนๆ ก่อนจะเบี่ยงความสนใจด้วยการเดินไปเปิดหาอะไรกินในตู้เย็น
“ครับๆ เข้าใจแล้ว” คนร่างสูงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินหายไปในห้องน้ำ แต่คุโรโกะกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องแอบยิ้มตลกเขาในใจแน่ๆ
เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว ความเงียบก็เริ่มเข้ามาปกคลุม ทำให้คุโรโกะเริ่มคิดอะไรหลายอย่างกับตัวเองในใจ คนตัวเล็กนึกถึงคำถามของอีกฝ่ายซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่ใบหน้าหวานจะพลันขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆ ด้วยความเขินอาย
...ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเขาเคยเห็นเราเปลือยมาแล้ว แต่ว่ามันไม่เหมือนกันนี่นา...
‘เพราะตอนนี้เราสองคนเสี่ยงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดเรื่องแบบนั้นได้ทุกเวลา’
คุโรโกะรู้สึกกระดากอายขึ้นมาทันทีเมื่อจินตนาการถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เขารีบสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ นั่นออกไป ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับของที่แช่อยู่ในตู้เย็น คุโรโกะเลือกที่จะไม่ถอดเสื้อผ้าตอนนี้เพราะเขาคิดว่ามันไม่ได้เปียกอะไรมากมายนัก อย่างน้อยเสื้อผ้าก็ไม่มีน้ำหยดแล้ว
คุโรโกะสำรวจของกินที่อยู่ข้างใน ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากนอกจากน้ำแร่และเบียร์
“อืม...”
อาจเพราะด้วยความอยากรู้อยากลองตามประสา คุโรโกะจึงหยิบเบียร์ออกมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเดินมากดรีโมตเปิดทีวี เมื่อเปิดเจอช่องที่ต้องการคนตัวเล็กจึงล้มตัวนอนลงบนเตียงและเอนตัวพิงหมอนนุ่มๆ โดยระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินเสียงซูซ่าของฝักบัวดังออกมาจากห้องน้ำอย่างเบาๆ
คุโรโกะเปิดกระป๋องเบียร์ด้วยใจที่เต้นตึกตักเล็กน้อย เขาตั้งใจว่าจะลองจิบเล็กๆ เพื่อดูว่ารสชาติมันเป็นยังไง จากนั้นค่อยตั้งไว้ทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วค่อยหาข้ออ้างบอกแนชทีหลังว่าตั้งใจเปิดเตรียมไว้ให้ แค่นี้ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว
คุโรโกะยกเบียร์ขึ้นจิบเบาๆ แต่แล้วก็ต้องทำหน้ายู่ พลางรีบเอากระป๋องเบียร์ออกไปห่างๆโดยเร็ว เมื่อรสชาติของมันนอกจากจะไม่อร่อยแล้ว ยังขมฝาดแผ่ซ่านไปทั่วลำคออีกต่างหาก
“ไม่อร่อยเลย อ๊ะ?!” ทันใดนั้นเองคุโรโกะก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อยู่ๆ ตัวเองก็เผลอทำกระป๋องเบียร์หลุดมือใส่ตัวเอง ทำให้มันกระฉอกรดเสื้อของเขาเต็มไปหมด
“แย่แล้ว...” คุโรโกะร้องออกมาอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ”
เบียร์อันเย็นเจี๊ยบผสานกับอุณหภูมิของแอร์อันเย็นเฉียบได้อย่างไม่ถูกเวลา คุโรโกะรู้สึกเย็นวาบตรงแผ่นอก และรู้สึกเหนียวเหนอะหนะขึ้นมา
“ต้องรีบล้างตัว แต่ว่า...” คุโรโกะชำเลืองสายตามองห้องน้ำด้วยสายตาหวาดหวั่น ยังคงมีเสียงน้ำไหลของฝักบัวดังออกมาเป็นระยะ
‘บางทีเขาคงไม่โกรธหรอกมั้ง’
คุโรโกะคิดในใจกับตัวเองอย่างแง่ดี ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำที่แนชยังคงใช้ทำธุระอยู่ ประตูห้องน้ำเป็นกระจกฝ้า เห็นเพียงแค่หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามกระจกและเรือนร่างของชายหนุ่มที่อยู่ใต้สายน้ำอย่างเลือนราง
คุโรโกะยกมือไปเคาะประตูเบาๆ “คุณแนชครับ”
สักพักหนึ่งเสียงน้ำก็หยุดไหล “มีอะไรงั้นหรอเท็ตสึยะ?”
“เอ่อ...คือว่า” คุโรโกะอ้ำอึ้ง
“หิวหรอ? ช่วยรออีกสักพักนะ เดี๋ยวฉันออกไปสั่งอาหารให้”
“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นครับ”
“หืม งั้นมีอะไรล่ะ?”
“เอ่อ...” คนร่างบางเหลือบสายตาขึ้นด้วยท่วงท่าขวยเขิน ก่อนจะเอ่ยปากพูดเสียงแผ่วเบาด้วยความลำบากใจ “คือว่าผม...ขออาบน้ำด้วยได้ไหมครับ?”
“...”
เสียงที่เงียบหายไปอดไม่ได้ที่จะทำให้คุโรโกะรู้สึกไม่ดี ใบหน้าหวานก้มลงน้อยๆ ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แต่อีกใจก็คาดหวังว่าคนร่างสูงจะตอบรับคำขอของเขาโดยไม่คิดมาก แต่อีกใจเขาก็คิดว่ามันเป็นไปได้ยาก ก็ในเมื่ออยู่ๆ เขาก็มาขอในเรื่องแบบนี้กะทันหัน แนชจะคิดยังไงบ้างก็ไม่รู้...
ทันใดนั้นเองประตูก็ถูกเลื่อนเปิดออกอย่างรวดเร็วโดยที่คนตัวเล็กไม่ทันได้ตั้งตัว
“!”
ประตูที่เปิดออกกว้างมาพร้อมกับชายหนุ่มที่มีเรือนร่างเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกรุ่นแบบอ่อนๆของแชมพูลอยมาแตะจมูก คุโรโกะที่ก้มหน้าอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วทันใดนั้นเองดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงโดยมิอาจคลาดสายตาได้
คุโรโกะชะงักไปทันทีด้วยความตกใจ ในขณะที่ดวงตากลมโตเบิ่งค้างต่อภาพที่ได้เห็นตรงหน้า แก้มนวลพลันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความเขินอายจนถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเลื่อนสายตาไปมองที่อื่นได้ราวกับถูกมนตร์สะกด...
ร่างกายอันขาวซีดของแนชเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับหยดน้ำที่เกาะพราวตามร่างกาย ขับให้ร่างกายอันส่มส่วนนั่นช่างดูเซ็กซี่เย้ายวน เรือนผมสีทองสง่าเปียกชื้นที่ถูกเสยขึ้นไปเข้ากับโครงหน้าหล่อเหลาได้รูป คนร่างบางมองช่วงไหล่หนากว้างอันแข็งแกร่ง ไล่สายตาเรื่อยมายังแผ่นอกที่ดูตึงแน่นด้วยกล้ามเนื้อ รอยนูนตรงหน้าท้องแข็งแกร่งเป็นรอยซิกแพคเด่นชัด ครั้นเบนสายตาต่ำลงมาคุโรโกะก็ต้องหน้าขึ้นสีแดงจัด เมื่อได้เห็นท่อนเนื้อแกร่งที่ขนาดของมันช่างใหญ่เสียยิ่งกว่าของผู้ชายทุกคนที่เขาเคยเห็น
คุโรโกะรีบเบนสายตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว และทันใดนั้นเองก็มีสิ่งบางอย่างที่มีเสน่ห์มากกว่านั้นช่วยดึงดูดสายตาของเขาไว้ มันคือรอยสักบนแขนข้างซ้ายซึ่งถูกสักเป็นลวดลายแปลกๆ ที่ดูดิบเถื่อนและอันตราย มันคือรอยสักที่คุโรโกะเคยเห็นมันแค่นิดเดียวแถวต้นคอของชายหนุ่มเท่านั้น แต่วันนี้คุโรโกะเพิ่งจะได้เห็นรอยสักของแนชแบบเต็มๆ ตา มันเป็นรอยที่สักตั้งแต่ช่วงคอด้านซ้ายยาวลงมาจนถึงข้อศอก รอยสักที่ดูดิบเถื่อนเข้ากับต้นแขนล่ำๆ อันแข็งแกร่งของแนชได้อย่างลงตัว ทำให้แม้แต่คุโรโกะเองก็รู้สึกอยากจะยกมือขึ้นไปลูบไล้มันด้วยความหลงใหล
ไม่อยากจะบอกเลยว่าแนชเป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ และหล่อเถื่อนบาดจิตบาดใจที่เล่นทำเอาหัวใจแทบเต้นทะลุออกมา...
“จะอาบน้ำด้วยงั้นหรอ?”
เสียงของแนชปลุกคุโรโกะให้หลุดออกมาจากภวังค์
“อ๊ะ! เอ่อ...ครับ คือว่าผมทำน้ำหกเลอะตัวเองนิดหน่อย” คุโรโกะอธิบาย
แนชถอนหายใจครั้นไล่สายตามองคุโรโกะตั้งแต่หัวจรดเท้า “ซุ่มซ่ามจริงๆ”
“ขะ...ขอโทษครับ”
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” ฝ่ามือหนาลูบเรือนผสีฟ้าครามอย่างอ่อนโยน “ช่วยไม่ได้นี่นะ งั้นก็เข้ามาอาบด้วยกันสิ”
เมื่อได้ยินคำอนุญาตคุโรโกะก็แอบยิ้มกับตัวเองอย่างโล่งใจ ก่อนจะรีบถอดเสื้อผ้าตัวเองทั้งหมดออก แล้วนำไปวางกองรวมกันไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ แล้วเข้าไปอยู่ในสายน้ำเย็นชื่นใจใต้ฝักบัวกับแนชที่ยืนอยู่ข้างกัน
“...”
แนชมองเรือนร่างของคุโรโกะด้วยแววตาปรารถนา ในขณะที่เด็กน้อยไม่ได้รู้สึกถึงสายตาลวนลามที่จ้องมองมาเลยแม้แต่น้อย...
คุโรโกะถูเนื้อถูตัวอยู่ใต้สายน้ำ คนร่างบางเริ่มด้วยการถูสบู่ก่อนเพราะครีมอาบน้ำอยู่ใกล้มือมากกว่า เรือนร่างบอบบางเต็มไปด้วยหยดน้ำที่เกาะพราวตามร่างกาย ใบหน้าหวานถูกล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีฟ้าครามที่เปียกชื้นลู่ไปตามโครงหน้าเรียว มือบางเสยเส้นผมที่เปียกชื้นขึ้นโชว์หน้าผากขาวมนอันน่ารักน่าชัง ร่างผอมบางที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดช่างดูเปราะบางและน่าทะนุถนอมไม่ต่างจากตุ๊กตา
แนชจ้องมองคุโรโกะไปทั่วทุกสัดส่วนด้วยแววตาหลงใหล ยอดอกสีชมพูเหมือนเม็ดไข่มุกช่างดูนุ่มนิ่มเหมือนเยลลี่ เมื่อมองจากด้านหลัง หยดน้ำค่อยๆ ไหลผ่านจากแผ่นหลังลงมาที่ก้นน้อยงอนงามและขาวเนียนนุ่มราวกับก้นเด็ก แนชยกยิ้มเล็กๆบนมุมปาก หากเทียบกับเด็กหนุ่มทั่วไปในวัยนี้คุโรโกะนั้นค่อนข้างผอมบางมาก ทั้งเรียวแขนเรียวขาที่ดูเปราะบาง และร่างกายที่ดูผอมผิดจากเด็กม.ปลาย
และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเพิ่งได้เห็นรอยสักบนหน้าท้องของคุโรโกะชัดๆ เพราะตอนนั้นเขาขอดูแค่รอยสักที่ต้นคอเท่านั้น แต่ทว่าพอมาดูแบบนี้อีกครั้ง ลายสักที่เขาเลือกมามันก็เข้ากับหน้าท้องขาวเนียนของคุโรโกะได้ไม่เลวเลย
ลายสักที่เขาเลือกมาเป็นรอยสักรูปผีเสื้อหันข้างที่มีปีกสีม่วงบนหน้าท้องด้านขวาใกล้ๆ กับสะดือ ตอนแรกแนชคิดว่าจะให้คุโรโกะสักรูปผีเสื้อธรรมดาพอ แต่เมื่อลองจินตนาการถึงภาพที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเขากลับรู้สึกว่ามันขาดอะไรไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเลือกลายกิ่งก้านของต้นไม้สีน้ำตาลที่มีดอกไม้สีชมพูมาประดับตกแต่งเพิ่มเติมด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ช่างสักคนนี้ค่อนข้างชำนาญและมีฝีมือ ทำให้การผสานกันของลายสักทั้งสองออกมาลงตัวอย่างสวยงาม
“...”
...อีโรติกไม่เบา...
ซ่า ซ่า!
คุโรโกะล้างตัวและกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบชวดแชมพู แต่แล้วร่างบางก็ต้องชะงัก เมื่ออยู่ๆ แนชก็เดินเข้ามากอดเขาจากด้านหลัง อ้อมแขนแกร่งโอบกอดเขาไว้อย่างแนบแน่นเสียจนคุโรโกะรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองกำลังชนกับแผ่นอกของแนชอยู่
ใบหน้าหวานกลายเป็นสีแดงจัด คุโรโกะเอียงหน้ากลับไปมองคนร่างสูงน้อยๆ ด้วยแววตาสงสัย
“คุณแนชครับ คือว่า...แบบนี้มันอึดอัดนะครับ”
“...”
แนชไม่ยอมตอบอะไร จมูกโด่งเป็นสันฝังอยู่ตรงซอกคอที่มีรอยสักประทับอยู่ ริมฝีปากหยักจุมพิตบนต้นคออย่างแผ่วเบา ก่อนจะลากผ่านริมฝีปากสัมผัสไปทั่วซอกคอขาวเนียน สัมผัสของกลีบปากนุ่มที่ประทับลงมานั้น อดไม่ได้ที่จะทำให้คนตัวเล็กเผลอร้องครางออกมาด้วยความรู้สึกดี
“อ๊ะ... มะ..ไม่” แม้ว่าเขาทั้งสองจะอยู่ใต้สายน้ำเย็น แต่ทว่าคุโรโกะกลับรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นร้อนที่แผ่ออกมากจากร่างกาย
ในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังเบาๆ
“นายนี่นะ...จะว่าซื่อหรืออะไรดี”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างใบหู พร้อมฝ่ามือที่ค่อยๆ ลากผ่านลงมาสัมผัสที่หน้าท้องของคุโรโกะ
“นะ...นั่นมันหมายความว่ายังไงครับ” คุโรโกะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวย แก้มนวลทั้งสองข้างพลันร้อนผ่าว
“พอมีคนบอกให้นายเข้ามาอาบน้ำด้วย นายก็เดินเข้ามาอาบโดยที่ไม่คิดอะไรเลยอย่างงั้นหรอ”
“นะ...นั่นมัน...”
“นายก็เห็นไม่ใช่หรอว่าฉันกำลังเปลือย และนายเองก็ไม่ต่างกัน แถมนายกำลังเปียกไปทั้งตัว ไม่คิดว่ามันเป็นภาพที่อีโรติกไปเลยงั้นหรอ”
“ผะ...ผมไม่คิดว่า...”
“ไม่คิดว่าฉันจะทำอะไรนายสินะ หึ...”
แนชทำเสียงกึ่งหัวเราะ
“เป็นความใสซื่อที่น่ากลัวจังเลยนะ บางทีถ้าเป็นคนอื่น...นายอาจได้ไปนอนอ้าขาอยู่บนพื้นแล้วก็ได้”
คนร่างสูงค่อยๆ จับคนตัวเล็กให้หันหน้ามาหาตัวเองอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมสบเข้าไปในดวงตาสีฟ้าอันฉ่ำปรือ
“สำหรับคนอื่นมันอาจจะเป็นความโง่ แต่สำหรับฉัน...มันคือความใสซื่อไร้เดียงสาที่ถูกใจไม่เลว...”
“อ๊า!”
แล้วทันใดนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็เลื่อนเข้ามาใกล้บนซอกคอขาวเนียนอันหอมหวาน ริมฝีปากหยักสีกุหลาบประทับจุมพิตสร้างรอยแดงสร้างความเป็นเจ้าของ ยิ่งได้เข้าใกล้มากเท่าไร กลิ่นกายอันแสนบริสุทธิ์ด็ยิ่งเด่นชัดทำให้สติของแวมไพร์หนุ่มเริ่มมึนเมา เสียงชีพจรเต้นตุบๆ อยู่ภายใต้เนื้อนวลเนียน แวบหนึ่งชายหนุ่มค่อยๆ ปล่อยเขี้ยวคมสีขาวของตัวเองออกมาจากริมฝีปาก แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็ชะงักเหมือนกับว่ารู้สึกเปลี่ยนใจในภายหลัง ก่อนที่เขี้ยวแหลมคมจะมลายหายไป เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันน่าไว้ใจที่ขึ้นมาประดับบนมุมปากแทน
“อึก!”
คุโรโกะสะดุ้งเฮือกใหญ่ๆเมื่อจู่ๆ แนชก็ย่อตัวลงกะทันหัน แล้วประทับริมฝีปากลงมาบนรอยสักบนหน้าท้องของเขา
“อ๊ะ!”
ริมฝีปากบางครางเสียงหวานด้วยความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดที่สะกิดเข้ามาในใจ ฝ่ามือหนาเลื่อนลงมาจับบนเอวคอดบอบบาง แนชลากผ่านริมฝีปากของตนซ้ำไปซ้ำมาบริเวณหน้าท้องของเขา คุโรโกะรู้สึกสะดุ้งทุกครั้งที่กลีบปากนุ่มค่อยๆเลื่อนมาสัมผัสใกล้บริเวณท้องน้อย ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนกลับขึ้นไปจุมพิตตรงข้างสะดืออย่างแผ่วเบา
“จะว่าไป...รอยสักนี่ก็เซ็กซี่ไม่เลวเลย” ปลายนิ้วแข็งแรงแตะลงบนรอยสักนั้น
“อ๊ะ...” ใบหน้าหวานแดงซ่าน ริมฝีปากอวบอิ่มค่อยๆ เผยอออก
“ช่างงดงาม” แนชประทับริมฝีปากจุมพิตลงบนหน้าท้องที่เปียกชื้นของคุโรโกะ ใบหน้าหวานเผลอเชิดขึ้นด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน อุณหภูมิอุ่นร้อนจากริมฝีปากของแนชทำให้เขารู้สึกว่าขาทั้งสองข้างกำลังอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง
“ค...คุณแนชครับ หยุด...ไม่เอา...” คุโรโกะพยายามร้องห้าม แต่ว่าแนชก็ไม่ฟัง
“น่ารักมาก เท็ตสึยะ... ทั้งที่เป็นเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาแท้ๆ แต่กลับมีความเซ็กซี่อันไร้เดียงสาซ่อนอยู่ตั้งมากมายขนาดนี้ อย่างที่คิดเลย...ฉันไม่สามารถปล่อยนายให้ตกไปเป็นของคนอื่นได้จริงๆ”
กลีบปากนุ่มประทับลงมาที่รอยสักบนหน้าท้องของคุโรโกะอีกครั้ง
“อ๊า...”
สายน้ำจากฝักบัวก็ยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียงซูซ่าดังสะท้อนก้องไปมาภายห้องน้ำ สายน้ำที่เย็นฉ่ำทำให้ร่างเปลือยเปล่าของพวกเขาทั้งคู่เปียกปอนไปทั้งกาย
“จะว่าไปตอนอยู่ที่ร้านสัก นายก็ไม่ยอมโชว์รอยสักตรงหน้าท้องให้ฉันดูนี่ ทำไมล่ะ?”
“กะ...ก็เพราะ..” คุโรโกะอ้าปากตอบอย่างยากลำบาก “ก็มันน่าอายนี่ครับ..อ๊ะ!
“น่าอาย? หึ...” แนชหัวเราะในลำคอ “รอยสักที่ดูดิบเถื่อนแบบนี้ประทับอยู่บนหน้าท้องที่สวยงามแบบนี้ นายยังต้องอายอะไรอีกล่ะ หืม...”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็ประทับจูบลงไปอีกครา คุโรโกะหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกดีที่ไม่อาจหักห้ามใจได้ สองมือบางสอดประสานเข้าไปในเส้นผมสีทองงดงาม เกาะกุมอีกฝ่ายด้วยความต้องการให้แนชหยุดเสียที
“ไม่เอาครับ... พอเถอะ...”
ริมฝีปากอวบอิ่มเผยออกอย่างน่ายั่วยวน แนชคลี่ยิ้มร้ายบนมุมปากอย่างพึงพอใจ
“!”
แล้วทันใดนั้นเองอยู่ๆแนชก็อุ้มคุโรโกะขึ้นพิงกับผนังห้องน้ำ สองมือหนาประคองก้นน้อยไว้กันไม่ให้คนตัวเล็กลื่นตกลงไป ทำให้เรียวขาบางต้องอ้าออกโดยมีร่างกายของชายหนุ่มแทรกกลาง คุโรโกะร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะรีบเอามือไปจับไหล่กว้างเพื่อใช้เป็นที่ยึด แก้มทั้งสองข้างพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ท่วงท่าที่ไร้ซึ่งการกระป้องกันเช่นนี้ อดไม่ได้ที่จะทำให้คุโรโกะรู้สึกกลัวขึ้นมา ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกอับอายที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้กับอีกฝ่ายในระยะประชิด
ด้วยร่างกายที่แทรกอยู่ระหว่างกลางของคนตัวเล็ก ทำให้ตรงส่วนนั้นของคุโรโกะชนกับหน้าท้องของชายหนุ่ม ในระหว่างที่ขาเรียวบางทั้งสองข้างอ้าออกอยู่ระหว่างเอวของแนช ซึ่งสำหรับแนชแล้วการยกคนตัวเล็กในท่านี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก เพราะตัวคุโรโกะค่อนข้างเบาแถมเขาเองยังได้บีบคลึงก้นน้อยได้ตามที่ต้องการอีกด้วย
คนตัวเล็กที่เขินจนหน้าแดงซ่านไม่อาจขัดขืนอะไรได้ มือบางจับไหลล่แกร่งไว้เพื่อใช้เป็นที่ยึด ร่างบอบบางพลันสั่นไหวด้วยความตื่นกลัว
“ค...คุณแนช ไม่เล่นแบบนี้นะครับ”
คุโรโกะเอ่ยเสียงสั่น ร่างทั้งร่างถูกคนร่างสูงตรึงไว้ทั้งกาย เขาไม่อาจขยับหนีไปไหนได้เมื่อชายหนุ่มกดเขาติดกับผนัง ไว้แน่นในท่าที่ถูกอุ้มอยู่ และสิ่งที่ทำให้คุโรโกะกลัวที่สุดก็เห็นจะเป็นแก่นกายหนาของอีกฝ่ายที่ขนาดของมันไม่ได้เล็กเลยแม้แต่น้อย
“คุณแนชจะทำอะไรครับ?!”
คุโรโกะร้องออกไปด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับมีเพียงแค่รอยยิ้มปริศนาบนมุมปากเท่านั้นที่ส่งมาให้เขาเป็นคำตอบ ก่อนแนชที่จะค่อยๆไล้กลีบปากนุ่มสัมผัสบนซอกคอขาวไปมา ฝ่ามือแข็งแรงที่ประคองก้นของเขาอยู่เริ่มออกแรงบีบคลึงเบาๆ ทำให้คุโรโกะรู้สึกกลัวจนถึงขีดสุด
“มะ...ไม่เอานะ...”
คนตัวเล็กเริ่มทำท่าขัดขืนด้วยความกลัว แต่ด้วยพละกำลังที่น้อยกว่าและระยะอันแนบชิดระหว่างกัน ทำให้มันเป็นไปได้ยากนักที่จะสามารถต่อต้านแนชได้
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวสักพักนายจะรู้สึกดีเอง” เสียงกระซิบอันเย้ายวนดังข้างหู พร้อมแรงขบกัดเบาๆ บนต่างหูที่เพิ่งไปเจาะมาใหม่ๆ ส่งผลให้เด็กน้อยเผลอครางเสียงกระเส่าหวานออกมา
“อ๊า...อ๊ะ...” มือบอบบางจิกบนไหล่กว้างเพื่อระบายความรู้สึกเสียวซ่านที่ปะทุ ทั้งที่ร่างกายกำลังสั่นกลัว แต่อีกด้านของตนกลับร่ำร้องด้วยความต้องการ คุโรโกะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกมีอารมณ์ร่วมลึกๆในใจ อาจเป็นเพราะกลิ่นของสายฝน หรืออาจเป็นเพราะบรรยากาศอันเปียกชื้นของสายน้ำที่รินรดร่างกาย แต่เพราะสิ่งเหล่านั้นมันถึงทำให้ตัวเขารู้สึกตัวว่าแนชเองก็มีความต้องการอันท่วมท้นเหมือนกัน
“เท็ตสึยะ...” แนชกระซิบเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่กลีบปากนุ่มที่ชุ่มฉ่ำจะค่อยๆ ประทับลงมาบนกลีบปากบาง
“อื้ม!”
แนชประทับริมฝีปากของตนลงบนกลีบปากนุ่ม คนตัวเล็กเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ ทว่าเพียงไม่นานเปลือกตาบางก็ค่อยๆปิดลงจากรสจูบแสนลึกซึ้งที่ชายหนุ่มมอบให้ แนชบดเบียดร่างกายของตัวเองเข้าหาคุโรโกะ มือทั้งสองข้างบีบที่บั้นท้ายกลมกลึงของคุโรโกะอย่างแรงด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อืม...เท็ตสึยะ” แนชครางต่ำอย่างพึงพอใจ ริมฝีปากสีกุหลาบละออกมาชั่วครู่ ก่อนจะประกบลงไปอีกครั้ง
“อือ...อื้ม”
ลิ้นหนาสีชมพูสอดเข้าไปในโพรงปากบางบางของคุโรโกะด้วยความโหยหา ชายหนุ่มตวัดลิ้นของตนเกี่ยวกับลิ้นนุ่มของคนตัวเล็กอย่างดูดดื่ม พลางบดคลึงริมฝีปากนุ่มซ้ำๆ ด้วยความต้องการมากมายอันท่วมท้น ทำนองการจูบที่แสนรุนแรงและลีลาการเกี่ยวตวัดของลิ้นอันเร่าร้อนก่อให้ความรู้สึกหวิวๆ ในท้องน้อยของคุโรโกะ
ลีลาการจูบที่เข้าขั้นชำนาญทำให้คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนสติของตัวเองกำลังมึนเมาราวกับกำลังเสพสิ่งเสพติด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธแนชได้...แม้ส่วนแสนดีในตัวจะบอกให้ปฏิเสธ แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นแค่เพียงการเอียงหน้าหนีเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยอะไร มันกลับกลายเป็นการปล่อยตัวให้แนชถาโถมรสจูบที่แสนเร่าร้อนเข้ามาอีก
เป็นเวลาสักพักใหญ่ที่แนชมัวเมาไปกับริมฝีปากอวบอิ่มอันนุ่มนิ่มของคุโรโกะ โดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ คุโรโกะรู้สึกว่าร่างกายกำลังไม่เชื่องฟังทีละน้อย แนชมอบรสจูบที่รุนแรงจนคนตัวเล็กรู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งร่างกาย เรียวขาทั้งสองข้างที่อ้าออกโดยมีร่างของแนชแทรกกลางค่อยๆ หมดเรี่ยวแรงลง คุโรโกะเริ่มคิดในใจว่าถ้าแนชไม่อุ้มเขาไว้ ป่านนี้เขาคงขาอ่อนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วก็เป็นได้
“อา...”
เมื่อได้ลิ้มรสความหอมหวานจากจุมพิตอันแสนเร่าร้อนสมความต้องการ คนร่างสูงจึงค่อยๆ คลายริมฝีปากออกมา น้ำลายยาวใสแสนเย้ายวนเชื่อมต่อกันระหว่างปลายลิ้นของคนทั้งสอง บ่งบอกว่ารสจูบนี้มันช่างร้อนแรงเพียงใด
คุโรโกะหอบหายใจหนักด้วยความเหนื่อยอ่อน ขณะที่สายน้ำจากฝักบัวยังคงกระทบบนใบหน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่แนชเองก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของคุโรโกะกำลังค่อยๆ หมดเรี่ยวแรง ชายหนุ่มจึงออกแรงบีบสะโพกคนตัวเล็กแล้วยกขึ้นให้อยู่ในท่าที่ถนัด ส่งผลให้คุโรโกะเผลอร้องออกมาเบาๆ ที่ถูกบีบคลึงตรงบั้นท้ายกะทันหัน
แนชชำเลืองสายตามองใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดของคุโรโกะด้วยแววตาหลงใหล ดวงตาสีฟ้าครามฉ่ำปรือ ริมฝีปากอวบอิ่มที่แดงเจ่อเล็กน้อยเผยอออกอย่างยั่วยวน ให้ตายสิ...ช่างเป็นความเซ็กซี่ที่ไร้เดียงสาอะไรแบบนี้
แม้คุโรโกะจะไม่ค่อยประสีประสานักในการจูบตอบ แต่ทว่านั่นก็เป็นความใสซื่อที่แนชรู้สึกเร้าใจไม่น้อย ถึงกระนั้นแนชก็ไม่คิดจะปล่อยให้คุโรโกะกลายเป็นลูกแมวใสซื่อแบบนี้ตลอดไปหรอก อีกไม่นานเขาจะเป็นคนสั่งสอนบทเรียนทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนให้คุโรโกะให้กลายเป็นแมวยั่วสวาทเอง เพราะคงไม่มีอะไรน่าพึงพอใจไปกว่าการสั่งสอนเด็กที่อ่อนต่อโลกให้ชำนาญเรื่องเซ็กส์ในภายหลังอีกแล้ว
“พอเถอะครับ...” เสียงอันแผ่วเบาร้องบอก ดวงตากลมโตช้อนมองแนชอย่างอ้อนวอน แต่ทว่าเมื่อคุโรโกะได้เห็นแววตาของแนชที่จ้องมองมาทางตน คุโรโกะก็ต้องดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
แววตาของแนชในตอนนี้เหมือนกับแววตาของอาโอมิเนะในคืนนั้นไม่มีผิดเลย
ทันใดนั้นความหวาดระแวงจู่โจมเข้ามากะทันหันจนคนร่างบางพูดอะไรไม่ออก ดวงตาอันสั่นไหวของคุโรโกะมองเห็นแนชกำลังเลียริมฝีปากตัวเองด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ยิ่งทำให้คุโรโกะรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาเสียดื้อๆ
คุโรโกะยอมรับว่าเมื่อครู่เขารู้สึกดี แต่ว่าที่เขารู้สึกโอนอ่อนตามนั่นมันเป็นเพราะแค่จูบ... แต่ถ้าหากอีกฝ่ายทำอะไรเขามากกว่านั้นล่ะก็...
ไม่...ไม่เอานะ
ความหวาดกลัวเข้าครอบงำคุโรโกะโดยไม่ทราบสาเหตุ ภาพเซ็กส์อันรุนแรงในความทรงจำตีเข้ามาในหัวเขาอย่างกะทันหัน ทั้งความเจ็บ และความไม่ปราณีในตอนนั้นทำให้คนตัวเล็กเริ่มหวาดกลัวการมีเซ็กส์ ภายในหัวใจอันบอบบางเริ่มตีค่าว่ามันมีความหมายไม่ต่างจากเครื่องมือทรมาน คนร่างบางตัวสั่นด้วยความกลัวในขณะที่แนชค่อยๆ อุ้มเขาไปวางไว้บนข้างอ่างล้างหน้า ด้วยเหตุผลบางอย่าง...ขาทั้งสองข้างของเขาไม่มีแรงเลย
“เท็ตสึยะ” แนชเรียกชื่อของเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบลงบนซอกคออย่างแผ่วเบา แล้วเคลื่อนใบหน้ามากระซิบที่ข้างหู “ผ่อนคลายไว้นะ”
“!”
ทันใดนั้นแนชก็จับขาทั้งสองข้างของเขาแยกออก ก่อนจะแทรกกายเข้ามาแล้วจับแก่นกายหนาขึ้นจ่อ ดวงตาของคุโรโกะเบิกโพลงด้วยความตกใจ ภาพของแนชที่ค่อยๆเอาแก่นกายดันเข้ามาในช่องทางของเขาเป็นไปอย่างช้าๆ ในมโนสำนึก และในตอนนั้นเองภาพความทรงจำแสนเลวร้ายก็แล่นเข้ามาในหัวของคุโรโกะเป็นฉากๆ ความเจ็บปวดอันทรมานที่ทำให้ช่องทางฉีกขาด ขนาดอันใหญ่โตที่ทะลวงอัดเข้ามาในปากซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจุกไปถึงลำคอ รสชาติคาวขุ่นของน้ำสีขาวที่ต้องฝืนกลืนลงไปจนเต็มท้อง ต้องร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ถูกตบหน้า ทั้งถูกบีบคอและถูกตบตีอยู่หลายครั้งหลายคราเพื่ออดทนสนองความใคร่ของอีกฝ่ายให้ได้จนจบ
ภาพเหล่านั้นสลับไปมาในหัวของคุโรโกะจนคนตัวเล็กเริ่มน้ำตาไหลด้วยความกลัว ไม่นะ...นี่เขาจะต้องโดนอีกแล้วหรอ... เขาจะต้องโดนข่มขืนเหมือนกับคืนนั้นอย่างงั้นหรอ... จะต้องถูกย่ำยีและถูกตบตีเหมือนกับคืนนั้น... และแนชก็จะทำร้ายเขาเหมือนกับที่อาโอมิเนะเคยทำ... ความเจ็บปวดที่หายไปในวันนั้นจะกลับมาอีกครั้ง...
ทุกสิ่งทุกอย่างอันแสนขมขื่นเหล่านั้นกำลังจะย้อนกลับมาเกิดกับเขาอีกครั้ง!
ความกลัวอันมากมายอย่างที่คุโรโกะไม่เคยเป็นมาก่อนถาโถมเข้ามาจนสติแทบแตกสลาย ดวงตาของคุโรโกะกลอกไปมาอย่างสั่นผวา และทันทีทันใดนั้นเองก่อนที่ร่างกายจะทันได้ตอบสนองอะไร ปากของเขาก็เผลอตะโกนออกไปด้วยความกลัวจนถึงขีดสุด
“ไม่!!!”
เสียงร้องอันแสนเจ็บปวดดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องน้ำ ทำให้แนชต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่กับท่าทางของคุโรโกะ มือหนาที่กำลังจับแก่นกายสอดใส่พลันหยุดลง ดวงตาสีฟ้าเข้มมองคุโรโกะที่กำลังร้องไห้ด้วยแววตาตกใจและไม่เข้าใจในขณะเดียวกัน
“เท็ตสึยะ?” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนตัวเล็กด้วยความห่วงใย มือหนาแตะที่ไหล่บอบบางเบาๆ แต่แล้วคุโรโกะก็สะดุ้งเฮือกใหญ่ ก่อนจะปัดมือแนชออกอย่างแรงทันที
“ไม่! อย่า!! อย่ามาแตะผมนะ!!!”
คุโรโกะสะอึกสะอื้นยกใหญ่ด้วยความกลัว เรียวแขนเล็กๆทั้งสองข้างนั้นยกขึ้นมาบังหน้าตัวเองราวกับมันคือเครื่องป้องกันชิ้นสุดท้ายที่มี น้ำตาเม็ดใสไหลรินผ่านแก้มอันขาวซีดพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังเบาๆ ดวงตาสีฟ้ากลมโตคู่นั้นสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว แนชมองท่าทางของคุโรโกะด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่เคยเห็นคุโรโกะเป็นแบบนี้มาก่อน
“เท็ตสึยะเป็นอะไรไป” มือหนาจับไหล่บางทั้งสองข้างไว้ พยายามจะเรียกสติของอีกฝ่ายให้กลับคืนมา แต่ทว่ายิ่งถูกแตะเนื้อต้องตัวคุโรโกะก็ยิ่งรู้สึกหวาดผวามากกว่าเดิม คนตัวเล็กตัวสั่นเป็นลูกนกแรกเกิด ริมฝีปากอันสั่นระริกรีบเอ่ยขอโทษอย่างตะกุกตะกักเพราะกลัวจะถูกตบตี
“ขะ...ขอโทษครับ ขอโทษ...ฮึก” คุโรโกะก้มหน้าก้มตา ก่อนจะเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว...
“เท็ตสึยะ...”
ชายหนุ่มเรียกชื่อเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีฟ้าเข้มหรี่มองคนตัวเล็กอย่างกังวลใจ ร่างบอบบางที่กำลังสั่นไหวก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้าเขา มีเพียงแค่เสียงร้องไห้ที่ยังคงดังออกมาด้วยความกลัว
แนชรู้สึกเป็นห่วงคุโรโกะจับใจ ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้ ไม่เข้าใจว่าถ้าทำไมอยู่ๆคุโรโกะถึงร้องไห้ขึ้นมากะทันหัน เขาอยากจะกอดปลอบเหมือนอย่างเคยเพื่อทำให้คนร่างบางรู้สึกดีขึ้น แต่ว่าคนตัวเล็กกลับไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาแตะต้องตัว
“โอเคๆ ฉันไม่ทำแล้วก็ได้ ดังนั้นได้โปรดอย่ากลัวเลยนะ” แนชล้มเลิกความคิดที่จะสอดใส่เข้าไปในตัวคุโรโกะ แต่ถึงกระนั้นความกลัวในใจคนตัวเล็กก็ยังไม่เบาบางลง
คุโรโกะไม่ได้กลัวแนช เขาแค่หวาดกลัวการมีเซ็กส์...
และความกลัวพวกนั้นกลับค่อยๆดึงความทรงจำส่วนลึกในใจให้ตื่นขึ้นมา
“ฮึก...ได้โปรดอย่าทำผมเลย มันเข้าไม่ได้หรอก...”
ริมฝีปากบางพึมพำในสิ่งที่คนร่างสูงไม่เข้าใจ ความสงสัยเข้ามาในหัวของแนชจนชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง จริองยู่ว่าคุโรโกะอาจเป็นเด็กน้อยที่อ่อนต่อเรื่องพวกนั้น แต่ถึงกระนั้นคนร่างบางก็ไม่เคยรู้สึกกลัวถึงขนาดร้องไห้ออกมาแบบนี้ แถมท่าทางหวาดกลัวของคุโรโกะมันก็ผิดแปลกเกินไป เพราะมันดูเป็นท่าทางที่เหมือนกลัวจนจำฝังใจมากกว่าจะเป็นความกลัวของคนที่กำลังจะมีเซ็กส์ครั้งแรก...
ถึงแม้จะรู้สึกกลัวจริงๆ แต่ท่าทางที่แสดงออกมามันก็ผิดปกติเกินไป...
“เท็ตสึยะ?”
แนชเอ่ยเรียกคุโรโกะอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง หวังจะให้คนตัวเล็กรู้สึกไว้วางใจ แต่ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาจากอีกฝ่าย คุโรโกะยังคงตัวสั่น พลางก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้น ราวกับเจ้าตัวกำลังดำดิ่งสู่อดีตบางอย่างที่ไม่อาจปีนกลับขึ้นมาได้
“ขะ...ขอโทษครับ ขะ...ขอโทษ...”
คุโรโกะพึมพำคำนี้ซ้ำซ้ำมาทั้งน้ำตา ก่อนที่คนร่างบางจะเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างหนักโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง แม้แนชรู้ว่าคุโรโกะไม่อยากให้แตะต้องร่างกาย แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้คุโรโกะเป็นแบบนี้ตลอดไปได้ ท้ายที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจบังคับตัวเองให้เอื้อมมือไปโอบกอดร่างบางไว้แนบอก ซึ่งแน่นอนว่าคุโรโกะรีบกรีดร้องขัดขืนทันที
“อย่ามาแตะผมนะ! ฮึก! กลัวแล้ว...อย่าทำผมเลย!”
“เท็ตสึยะ เท็ตสึยะ! ใจเย็นๆ นี่ฉันเอง มองฉันสิ!”
แนชพยายามเรียกสติของคุโรโกะให้กลับคืนมา ฝ่ามือหนาประคองแก้มทั้งสองข้างขึ้น ออกแรงบังคับเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมองตา แต่คุโรโกะก็ไม่มอง คนร่างบางกรีดร้องและดีดดิ้นไปมาอย่างหนักด้วยความกลัว
ทว่าสุดท้ายแล้ว...หัวใจอันบอบบางก็ไม่สามารถอดทนรับความทรงจำเลวร้ายที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันได้ ทันใดนั้นเองร่างผอมบางที่สะอึกสะอื้นพลันหยุดขัดขืนลงอย่างเชื่องช้า ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มปรือที่ล่ะน้อย ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆ ปิดลง ส่งผลให้คุโรโกะค่อยๆ หมดสติไปด้วยความช็อกในท้ายที่สุด...
“เท็ตสึยะ...”
ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเด็กน้อยในอ้อมอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในหัวเขาเริ่มนึกย้อนทบทวนถึงปฎิกิริยาต่างๆ ของคุโรโกะ ทั้งเสียง ทั้งท่าทาง และท่าทีตอบสนองที่กำลังจะถูกสอดใส่ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเหมือนกับว่าคุโรโกะเคยถูก...
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของแนช ก่อนที่ดวงตาคมจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
“หรือว่านายจะ...”
เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงใหญ่พร้อมสายฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับการร่ำไห้ของเทพธิดาบนสวรรค์ บรรยากาศที่ควรจะเป็นค่ำคืนอันโรแมนติกระหว่างคนทั้งสอง กลับแปรเปลี่ยนเป็นการฟื้นคืนเรื่องราวอันเลวร้ายให้ร่างบางจดจำอีกครั้ง
สายฟ้าที่ฟาดฟันลงมาก่อให้เกิดแสงสาดส่องบนดวงตาของชายหนุ่ม ทว่าดวงตาของแวมไพร์หนุ่มกลับไม่ใช่สีฟ้าเข้มเหมือนอย่างเคย ดวงตาเรียคมทั้งสองข้างวาบวับด้วยความโกรธท่ามกลางความมืด แวมไพร์หนุ่มอุ้มคนตัวเล็กเดินไปยังเตียงนอน และในตอนนั้นเองที่เงาของเขาได้สะท้อนอยู่บนบานหน้าต่าง แนชได้เห็นเงาของตัวเองที่อยู่ในความมืด และเมื่อฟ้าได้ผ่าลงมาอีกครั้ง... เขาจึงได้เห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของเขากำลังส่องประกายกลายเป็นสีแดงคุโชนราวกับถ่านไฟ
แวมไพร์หนุ่มวางเด็กน้อยในอ้อมอกลงเตียงอย่างเชื่องช้า ใบหน้าหวานที่มีแต่ร่องรอยความอิดโรยยิ่งตอกย้ำถึงข้อสันนิษฐานของแนชให้มีความเป็นไปได้มากขึ้น
...อีกใจหนึ่งเขาคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แต่ว่ามันไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นไปได้แล้ว...
แนชหยิบเสื้อผ้าที่กองไว้ขึ้นมาใส่บนร่างกายของตัวเองดั่งเดิม ก่อนที่แวมไพร์หนุ่มจะเอนกายนั่งลงบนเตียงข้างคนร่างบางที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติ
ดวงตาสีแดงฉานมองคุโรโกะด้วยแววตาต่างไปจากทุกที เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นมาอย่างเนิบช้า ก่อนจะเอามันไปกางเหนือใบหน้าของคุโรโกะ มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุโรโกะ แม้ว่ามันจะเป็นการผิดสัญญาที่เขาเคยบอกคุโรโกะว่าไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ก็ตาม
ยังไงเสียเขาก็ไม่ได้คิดจะรักษาสัญญาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว... ใครที่มันทำให้คุโรโกะเจ็บปวด มันจะต้องชดใช้คืนเป็นเท่าตัวของชีวิต...
“ขอโทษนะเท็ตสึยะ”
รอยยิ้มร้ายกายค่อยๆผุดขึ้นบนมุมปากทีล่ะนิด ขณะที่ไอสีขาวบางเบาที่ปรากฎขึ้นค่อยๆ ถูกฝ่ามือหนาข้างนั้นกลืนกิน
“ฉันขอเข้าไปดูความทรงจำของนายหน่อย คงไม่ว่ากันนะ...”
แล้วภาพความทรงจำมากมายที่คุโรโกะได้พบก็แล่นเข้ามาในหัวของแนชราวกับเทปที่กรอกลับ
...
...
...
.
.
.
.
“อืม...” ริมฝีปากบางครางเสียงแผ่วอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
ทั่วทั้งห้องมืดสลัวไร้แสงไฟ มีเพียงแค่แสงสีจากข้างนอกที่สะท้อนเข้ามาผ่านทางหน้าต่างกับแสงของฟ้าแลบที่สะท้อนเข้ามาเป็นระยะ ร่างบางเหม่อมองเพดานอยู่สักพัก ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลเข้ามาในหัวอย่างช้าๆ ทำให้คนตัวเล็กพอจะจำได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และตัวเองได้เผลอทำอะไรลงไป...
ครั้นนึกถึงใบหน้าอันเย็นชาของผู้ชายคนนั้น คุโรโกะก็เริ่มรู้สึกกลัวว่าบางทีแนชอาจจะสงสัยในท่าท่างของเขาที่แปลกไป และกลัวว่าชายหนุ่มจะล่วงรู้ในความลับที่เขาไม่ต้องการจะบอก...
‘ไม่ว่ายังไงก็จะให้คุณแนชรู้ไม่ได้’
คุโรโกะค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมานั่งบนเตียงนอน ใบหน้าหวานแหงนไปมองไปรอบตัวด้วยความสงสัย ตั้งใจจะมองหาแนชเพื่ออธิบายเรื่องราวให้เข้าใจก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะรู้เรื่องความลับที่เขาปกปิดไว้
แล้วทันใดนั้นเองคุโรโกะก็ต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อหันหน้ามาเจอกับแนชที่นั่งอยู่ข้างเตียง
อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่*?!*
ชายหนุ่มนั่งหันหน้าออกไปทางหน้าต่างอย่างเหม่อลอย บรรยากาศอันมาคุแผ่ออกมาจนแม้แต่คนตัวเล็กยังรู้สึก คุโรโกะมองคนร่างสูงด้วยสายตาหวาดหวั่น ไม่กล้าส่งเสียงเรียกออกไปเหมือนทุกที หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ การที่อีกฝ่ายนั่งเงียบจนผิดสังเกตแบบนี้มันทำให้คุโรโกะรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย...
“ตื่นแล้วหรอ”
คุโรโกะสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อฝ่ายนั้นเป็นคนเริ่มเอ่ยปากทักทายเขาก่อน ใบหน้าหล่อเหลาหันข้างกลับมามองเขา เผยให้เห็นรอยยิ้มบางบนมุมปากที่อ่อนโยนเหมือนกับทุกที ทำให้คุโรโกะกะพริบตาปริบๆ พลางทำหน้าฉงนโดยบริสุทธิ์ใจ
“เอ่อ...คือว่า” คุโรโกะเขยิบเข้าไปใกล้แนช มือเล็กแตะลงบนลำแขนแกร่งเบาๆ “คุณโอเคใช่ไหมครับ?”
แนชขมวดคิ้ว ก่อนจะทำเสียงกึ่งหัวเราะ “ก็ต้องโอเคสิ ทำไมฉันจะต้องไม่โอเคด้วยล่ะ?”
“กะ...ก็เมื่อกี้ผม...”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“เอ๊ะ?”
“ฉันผิดเองแหละที่เร่งรัดนายเกินไป ทั้งๆที่รู้ว่านายไม่พร้อมแต่ฉันก็ยังดึงดันจะทำเรื่องแบบนั้นอีก ต้องขอโทษจริงๆนะที่ทำให้ตกใจ”
“คุณแนช...” เมื่อได้ยินคำตอบคุโรโกะจึงระบายลมหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งใจ อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่แนชไม่ติดใจสงสัยอะไร “งะ...งั้นหรอครับ บางทีผมอาจจะคิดมากเกินไป”
แวมไพร์หนุ่มหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่...วิวดีใช้ได้เลยนะ”
“เอ๊ะ?”
คุโรโกะเอียงหัว ก่อนจะเหลือบสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสายฝนยังคงโปรยปรายลงมาบนแสงสีของเมืองใหญ่ยามค่ำคืน เริ่มเข้าใจว่าคำว่าวิวดีที่แนชหมายถึงคืออะไร
“นั่นสิครับ วิวสวยจัง”
“หึ...”
แนชหัวเราะในลำคอ ทำให้คนตัวเล็กต้องรีบหันขวับกลับมามองด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะพองแก้มอย่างงอนๆ นี่เขาอุตส่าห์เห็นด้วยนะ มันมีอะไรน่าขำหรือไงกัน
“ขำอะไรน่ะครับ”
“ก็นะ...วิวดีของฉันกับวิวดีของนายมันคนล่ะความหมายกันน่ะสิ”
“เอ๊ะ?”
เป็นอีกครั้งที่คุโรโกะต้องเอียงคอด้วยความสงสัย ครั้นไล่มองตามสายตาของแนชไป เขาก็เห็นว่าดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นกำลังมองมาทางร่างกายของเขา สิ่งที่สายตาคู่งามนั้นกำลังมองมาด้วยสายตาปรารถนาคือยอดอกสีชมพูนุ่ม ไล่สายตามองไปทั่วเรือนร่างอันเปลือยเปล่าไร้ซึ่งเสื้อผ้าใดๆ บนร่างกาย ทำให้เด็กน้อยรู้ได้ในทันทีว่าความหมายของคำว่าวิวดีที่แนชหมายถึงนั้นคืออะไร
แก้มทั้งสองข้างพลันขึ้นสีแดงก่ำราวกับลูกเชอรี่ คุโรโกะอ้าปากพะงาบๆ อย่างพูดไม่ออกด้วยความอับอาย ก่อนที่เขาจะรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองราวกับดักแด้เหลือเพียงแค่หัวที่โผล่พ้นขึ้นมา
“ถ้ารู้ว่าผมโป๊ก็บอกกันเร็วๆ กว่านี้หน่อยสิครับ” คนตัวเล็กโวยวายด้วยใบหน้าที่เป็นสีแดงก่ำ พลางกระชับผ้าห่มให้ปิดร่างกายตัวเองมากขึ้น
ปฏิกิริยาตอบรับที่แสนน่ารักน่าชังทำให้แนชต้องหลุดหวัเราะออกมาด้วยความเอ็นดู เขายื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อยด้วยความหมั่นเขี้ยว ไม่เข้าใจว่าป่านนี้จะมาเขินทำไม ในเมื่อเขาเห็นได้เรือนร่างอันแสนเซ็กซี่นั่นทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว
“เสื้อผ้านายยังเปียกอยู่ มันช่วยไม่ได้นี่”
“ถึงงั้นก็เถอะ แล้วทำไมคุณถึงไม่ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำให้ผมล่ะครับ”
“นั่นสิ ทำไมกันนะ...” แนชคลี่ยิ้มมีเลศนัย “เรื่องนั้นยังไงก็ช่างมันก่อนเถอะ ที่สำคัญกว่านั้น...”
แนชค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาหาคุโรโกะ
“เอ่อ...มีอะไรหหรอครับ” คุโรโกะพูดเสียงหวาดๆ
“มานี่สิ เท็ตสึยะ” ชายหนุ่มผายมือมาหาคุโรโกะ
แวบหนึ่งคุโรโกะรู้สึกไม่ไว้ใจ แต่ครั้นได้เห็นรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้าของอีกฝ่าย ความรู้สึกเชื่อใจอันบางเบาก็ก่อตัวขึ้นมาในหัวใจ คุโรโกะมองใบหน้าของแวมไพร์หนุ่มอย่างลังเลชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปจับฝ่ามือของแนชไว้ด้วยรอยยิ้ม
แล้วแนชก็ดึงคุโรโกะให้มานั่งลงข้างหน้าตัวเองที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ด้วยท่าที่หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง เพราะแนชไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะลวนลามหรือแกล้งเขาเหมือนอย่างเคย คุโรโกะจึงไม่ได้ต่อต้านและยอมทำตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการอย่างว่าง่าย
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าสายตาของคุโรโกะคือหน้าต่างบานใหญ่ที่สะท้อนภาพจากภายนอก ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงจากหมู่ดาว มีเพียงแค่สายฝนที่โปรยปรายลงมากระทบบนหน้าต่าง มีหยดน้ำไหลไปตามขอบกระจก ทำให้ภาพทิวทัศน์ค่อนข้างรางเลือน
มันเป็นภาพที่สวยงาม...แต่ในขณะเดียวกันคุโรโกะกลับรู้สึกว่ามันน่ากลัว ค่ำคืนที่ฝนตกมันทำให้เขาหวนนึกถึงคืนที่พ่อแม่ถูกปีศาจร้ายฆ่าตาย วันนั้นก็เป็นวันที่ฝนตกหนักและมีเสียงฟ้าผ่าเหมือนคืนนี้เช่นกัน ครั้นได้ลองมานั่งมองฝนตกอย่างเงียบๆ มันก็ยิ่งทำให้หัวอันว่างเปล่าของเขาหวนกลับไปจดจำเรื่องเดิมๆ ที่ไม่เคยอยากจะจำ ความมืดที่รายล้อมอยู่รอบตัวไม่ได้ช่วยทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเลย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแนชถึงไม่ยอมเปิดไฟ แม้จะมีแสงสลัวจากสายฟ้าแลบที่สะท้อนเข้ามาในห้อง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี...
แนชโอบกอดเขาเข้าหาตัว อ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นกำลังพยายามกอดเขาอย่างทะนุถนอมที่สุดโดยไม่อยากทำให้เขาต้องรู้สึกอึดอัด แต่อาจด้วยเพราะอุณหภูมิของแอร์ล่ะมั้ง มันถึงได้ทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวไปมาเบาๆ ด้วยความหนาวจับใจ
“หนาวหรอ?” แวมไพร์หนุ่มสังเกตเห็นท่าทางของคุโรโกะ คนร่างบางจึงพยักหน้ารับเบาๆ
“อาจเพราะผมไม่ใส่เสื้อผ้าด้วยล่ะมั้งครับ มันถึงได้รู้สึกหนาวแปลกๆ แถมตัวคุณแนชเองก็เย็นนิดหน่อยด้วย”
เพราะแผ่นหลังอันเปลือยเปล่าของเขากำลังชนกับแผ่นอกของแนชในระยะประชิด ความหนาวเย็นที่เขารู้สึกมันถึงยิ่งชัดเจน คงเป็นเรื่องปกติสำหรับแวมไพร์ที่จะมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่ามนุษย์ที่มักจะมีอุณหภูมิร่างกายอบอุ่น แต่ว่ายังไงเสียมันก็สู้ความเย็นของแอร์ไม่ได้อยู่ดี
“ฮัดชิ้ว!”
อาการคัดจมูกเข้าจู่โจมกะทันหัน คุโรโกะสูดน้ำมูกดังฟืดเบาๆ ก่อนจะยกนิ้วถูปลายจมูกที่เหมือนกำลังจะขึ้นสีแดงก่ำ รู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดเลยแฮะ...
“กินยาแก้หวัดไหม?” แนชถาม
คุโรโกะทำหน้ายู่ “ไม่เอาหรอกครับ มันขม...ฮัดชิ้ว!”
แล้วคุโรโกะก็เผลอจามออกมาอีกครั้ง แนชส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนจะคว้าผ้าห่มที่กองอยู่ด้านหลังขึ้นมาคลุมตัวเองไว้ ซึ่งผ้าห่มก็ผืนใหญ่มากพอที่จะคลุมโอบล้อมถึงคนตัวเล็ก คุโรโกะดึงชายผ้าห่มเข้าหาตัวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย และเพราะแบบนั้นแนชจึงต้องกอดคุโรโกะแนบตัวมากขึ้น เพื่อให้อีกฝ่ายดึงผ้าห่มเข้ามากอดได้ตามต้องการ
“ไม่ค่อยหนาวแล้วครับ” เสียงพึมพำแผ่วเบาดังอย่างมีความสุข
แวมไพร์หนุ่มยิ้มระอาครั้นได้ยินคำพูดเบาใจราวกับเด็ก อ้อมแขนแกร่งโอบรอบเอวบอบบางไว้อย่างอ่อนโยน ไม่ว่าจะเมื่อไรเด็กอายุ 16 คนนี้ก็ไม่เคยทำตัวให้ดูโตขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะแบบนั้นเขาถึงได้รู้สึกเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยคิดสักครั้งว่าคุโรโกะจะสามารถเติบโตขึ้นได้หากไม่มีเขาคอยดูแล...
“เป็นเด็กที่ต้องให้ดูแลอยู่เรื่อย” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบาโดยที่คุโรโกะไม่ได้ยิน... ก่อนจะจับศีรษะของอีกฝ่ายให้เอนพิงแผ่นอกเขาเบาๆ
จากนั้นความเงียบงันก็เข้ามาโอบล้อมคนทั้งสอง เว้นเสียแต่เสียงฝนจากด้านนอกที่ตกกระทบลงบนหน้าต่าง อาจเพราะต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มบทสนทนายังไง พวกเขาจึงปล่อยให้เสียงฝนยามค่ำคืนเป็นสิ่งนำทางแทน คุโรโกะเอนกายพิงแนชในขณะที่ในหัวนั้นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ดวงตาสีฟ้าครามสะท้อนภาพของสายฝน แต่ลึกๆข้างในมันกลับสะท้อนภาพความทรงจำมากมายที่เขาไม่มีวันลืม ภายในหัวคิดถึงคำถามมากมายที่อยากจะถามแนช และเรื่องราวหลายต่อหลายเรื่องที่อยากจะอธิบายให้ฟัง แต่ถึงกระนั้น...เพราะอะไรคุโรโกะเองก็ยังไม่เข้าใจ แต่เขากลับรู้สึกลังเลที่จะพูดมันออกมา
เพราะกลัวหรือเปล่าคุโรโกะเองก็ยังไม่แน่ใจ...
คุโรโกะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องอาบน้ำ ในตอนนั้นเขาหลงคิดไปแวบหนึ่งว่าบางทีเขาอาจต้องโดนเสียแล้ว และเขาเองก็แอบยินยอมในใจว่ามันจะต้องเกิดขึ้น แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วทำไมตอนนั้นเขาถึงได้รู้สึกกลัวกันนะ... เพราะอาโอมิเนะงั้นหรอ... จริงอยู่ว่าความทรงจำครั้งนั้นเลวร้ายมาก แต่คุโรโกะเชื่อว่ามันจะต้องมีอะไรมากกว่านั้นที่ไม่ใช่ความหวาดกลัวการมีเซ็กส์แค่ธรรมดา เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงเขาคงขัดขืนแนชไปตั้งแต่แรก แต่ถึงกระนั้น...แล้วทำไมเขาถึงได้ไม่ขัดขืนแนชตั้งแต่ทีแรกเหมือนที่ทำกับอาโอมิเนะล่ะ...
นั่นสินะ...บางทีคำตอบมันอาจไม่ได้ยากอะไรเลยก็ได้
เพราะเขาชอบแนช
นั่นอาจเป็นเหตุผลง่ายๆที่ว่าทำไมเขาถึงได้ไม่ขัดขืนตั้งแต่ทีแรก... แต่ว่ามันก็แค่ความชอบ ไม่ใช่ความรัก... นั่นหรือเปล่าคือเหตุผลที่เขากลัวการมีเซ็กส์ หรือว่าแท้จริงแล้วเขาแค่ไม่อยากทำ...
หรืออาจเป็นเพราะในใจของเขายังตัดขาดจาก ‘ผู้ชายคนนั้น’ ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา
การมีอะไรกับคนที่ชอบโดยที่ในใจยังคงนึกถึงผู้ชายอีกคนในใจ มันคงจะเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมากสินะ...
บางทีถ้าอาคาชิบอกออกมาตรงๆ ว่าเกลียดเขา เรื่องมันคงจะง่ายกว่านี้ เพราะถ้าอาคาชิทำแบบนั้น...
เขาจะได้มีเหตุผลที่จะสามารถเกลียดอาคาชิได้อย่างบริสุทธิ์ใจสักที
“นี่ เท็ตสึยะ” เสียงเรียกของชายหนุ่มปลุกคุโรโกะให้หลุดออกมาจากภวังค์
“อะไรหรอครับ” คุโรโกะตอบ ดวงตาสีฟ้าครามมองแนชที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่าง
“ฉันรู้ว่านี่มันอาจไม่ใช่เวลา แต่ฉันมีเรื่องที่อยากจะรู้”
“แล้วมันคืออะไรงั้นหรอครับ...”
“สัญญามาก่อนได้ไหมว่าจะตอบตามความจริงที่นายรู้สึก”
“...”
“เท็ตสึยะ”
คุโรโกะหลุบสายตาลงต่ำ พลางถอนหายใจเบาๆ
“ผมสัญญาครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบ แนชจึงสวมกอดคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ อ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ
“เท็ตสึยะ นายน่ะเชื่อใจฉันหรือเปล่า
“...”
คำถามอันไม่คาดคิดไม่สามารถเรียกคำตอบจากคนตัวเล็กได้ภายในเวลาอันสั้น คุโรโกะชะงักไปด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองแนชราวกับเป็นการถามด้วยสายตาว่าที่ถามมานั่นคือเรื่องจริงใช่ไหม ซึ่งแนชก็ตอบคุโรโกะอย่างง่ายๆ ด้วยการพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม
คุโรโกะนิ่งเงียบ พลางทอดสายตามองออกไปข้างนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย เขาทบทวนย้อนนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่แนชเคยกระทำกับเขา ทั้งคำพูด สีหน้าท่าทาง และทุกสิ่งทุกอย่าง... คุโรโกะนึกถึงเรื่องเหล่านั้นอย่างเงียบๆ กับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจบอกคำตอบที่คิดถี่ถ้วนมาเป็นอย่างดีให้แนชได้ฟัง
“ถ้าเอาตามความจริงผมชอบคุณนะครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องความเชื่อใจ...ขอโทษนะครับที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ว่าผม...” คุโรโกะสูดหายใจเข้าลึก “ผมไม่เชื่อใจคุณเลยแม้แต่นิดเดียวครับ”
ครั้นได้ยินคำตอบที่เต็มไปด้วยความลังเลที่จะพูดของคุโรโกะ แนชก็ไม่ได้แสดงท่าทางออกมาว่าชอบใจหรือไม่ แวมไพร์หนุ่มนั่งนิ่งราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างกับตนเอง ก่อนจะค่อยเอ่ยปากพูดต่อ
“แล้วถ้านายไม่เชื่อใจฉัน ขอถามหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไร”
“...”
“ไม่ต้องกลัว คิดยังไงก็พูดออกมาเถอะ ฉันไม่โกรธหรอก”
คำว่าไม่โกรธนั้นจะเชื่อได้สักแค่ไหนกันนะ...คุโรโกะคิดในใจ แต่ว่ามื่อลองคิดดูอีกทีบางทีนี่อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้บอกแนชเสียทีว่าเขาไม่ชอบอีกฝ่ายในเวลาไหน และถ้ามันออกมาดี...บางทีแนชอาจจะยอมเผยความลับบางอย่างเพื่อทำให้เขาเชื่อใจก็ได้
“ถ้าถามว่าผมไม่เชื่อใจคุณเพราะอะไร มันก็ค่อนข้างพูดยากนะครับ เพราะมันมีหลายเรื่องเต็มไปหมดและมันก็ค่อนข้างยาว”
คุโรโกะเริ่มค่อยๆเล่าทีละนิด ในขณะที่แนชไม่พูดแทรกอะไรและนั่งฟังคุโรโกะเงียบๆ ด้วยแววตาเรียบเฉย
“บางทีความไม่เชื่อใจมันอาจจะเริ่มตั้งแต่คืนที่ผมฝันถึงคุณนั่นแหละครับ ก็นะ...คนแปลกหน้ามาเข้าฝัน แถมตัวผมในฝันก็ดันหลงเชื่อใจคุณ หลังจากนั้นไม่นานคนที่ผมคิดว่าเป็นเพียงแค่ความฝันกลับมาโผล่ต่อหน้าจริงๆ พอลองมาคิดดูดีๆ มันแปลกมากเลยไม่ใช่หรอครับ ผมจะฝันถึงคุณโดยไม่มีเหตุผลได้ไงในเมื่อคุณมีตัวตนจริงๆ แถมหลังจากนั้นไม่นานยังมีแวมไพร์มาพาตัวผมมาอยู่ด้วยอีก แถมตัวคุณเองก็เป็นแวมไพร์เหมือนกัน ไม่คิดว่ามันแปลกหรอครับ...”
“...”
“ผมสงสัยว่าบางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...แต่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้โดยใครบางคน”
“...”
“ผมไม่อยากจะคิดแบบนี้นะครับ แต่อาคาชิคุงเคยบอกผมไว้ว่าเรื่องที่ผมเป็นมนุษย์...มันถูกครึ่งนึงและผิดครึ่งนึง”
“...”
“แต่ว่าผมสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน แล้วก็ผมจำเรื่องสมัยเด็กไม่ได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว ดังนั้นผมไม่สามารถบอกเขาได้หรอกครับว่ามันเป็นมีมูลความจริง หรือว่าเขาแค่พูดกวนผมเท่านั้น”
“...”
“เหตุผลที่ผมไม่ค่อยเชื่อใจคุณ...อาจเป็นเพราะคุณไม่ยอมบอกอะไรผมเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกปั่นหัวอยู่ และเรื่องที่คุณบอกให้ผมฆ่าอาคาชิคุงด้วย...”
“...”
“ผมเริ่มสงสัยน่ะครับถึงความสัมพันธุ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองคน มันทำให้ผมสงสัยว่าคุณแค่ยืมมือผมหรือเปล่า และทำไมคุณถึงต้องบอกให้ผมไปฆ่าเขา... ไหนจะอารมณ์รุนแรงที่คุณลงมือกับผมบางครั้งอีก”
“...”
“ฟังมาถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไม”
“...”
“ในขณะที่คุณรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวผม แต่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลย”
“...”
“แค่นั้นมันก็มากพอแล้วล่ะครับที่ผมจะไม่สามารถเชื่อใจคุณได้เต็มร้อย แต่ว่า...”
“...”
“ความรู้สึกลึกๆในใจที่ผมมีต่อคุณมันเป็นของจริงนะครับ”
“...”
คุโรโกะได้ใช้คำพูดไพ่ตายออกไปจนหมดแล้ว แต่ว่าก็มีบางเรื่องที่เขาไม่ได้บอก เช่นเรื่องที่เขาเริ่มสงสัยว่าแนชเคยรู้จักเขามาก่อนหรือเปล่า และเรื่องที่เขาไม่ได้บอกแนชอีก...คือเรื่องความจริงที่เขาได้รู้อดีตของอาคาชิบางส่วน ทำให้เขาพลอยได้รู้ถึงความสัมพันธุ์ระหว่างแนชกับพวกอาคาชิไปด้วย ฉะนั้นเขาจะใช้เรื่องนี้เป็นตัวตัดสินใส่ใจว่าจะเชื่อใจแนชดีไหม ถ้าแนชยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเขาก็จะลองเสี่ยงเชื่อใจแนชดู แต่ถ้าแนชไม่เล่า...เมื่อถึงเวลานั้นขาคงต้องพยายามเลี่ยงแวมไพร์ตนนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเขาก็ได้แต่หวังว่าหัวใจตัวเองจะซื่อสัตย์กับสิ่งที่ตัวเองคิดด้วย...
“หึ...”
สักพักแนชก็ระบายลมหายใจแบบกึ่งหัวเราะแต่ก็กึ่งประชดประชัน ซึ่งคุโรโกะไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง เขาจึงเลือกที่จะไม่ถามอะไร
“นายเป็นเด็กฉลาดกว่าที่ฉันคิดนะเท็ตสึยะ” ฝ่ามือหนาลูบหัวคุโรโกะ “แต่พอได้มาฟังแบบนี้มันก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะถูกเกลียดซะด้วย”
คุโรโกะไม่ตอบ เขาฟังเงียบๆ คาดหวังในใจว่าแนชจะพูดในสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อใจ นั่นคือความลับทุกอย่างที่ตัวเขาไม่รู้...
“แต่ว่านะเท็ตสึยะ... นายน่ะเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าทำไมผู้คนถึงต้องมีความลับ”
“คุณหมายความว่ายังไงครับ”
“การมีความลับมันก็แบ่งได้เป็นหลายเรื่อง การที่มนุษย์มีความลับเพราะไม่อยากให้ใครรู้และไม่คิดจะบอกใคร แต่สำหรับฉันน่ะ...”
ทันใดนั้นเองแนชก็ค่อยๆ จับใบหน้าให้หันหน้ากลับมาหาตนเองอย่างเชื่องช้า และนั่นมันทำให้คุโรโกะเผลอดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเขาได้เห็นดวงตาสีแดงก่ำและริมฝีปากหยักที่เหยียดยิ้มชั่วร้าย แนชมองปฏิกิริยาของคุโรโกะด้วยแววตาพึงพอใจ ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงพรั่นพรึง
“ที่ฉันเก็บความลับไว้ เพราะถึงบอกนายไป...นายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“!”
ด้วยสัญชาตญาณคุโรโกะจึงรีบผลักแนชออกห่างจากตัวทันที แต่ทว่าพอเขาทำแบบนั้นเขาก็พบว่าแนชไม่ได้ยิ้มชั่วร้ายเหมือนเมื่อกี้อีกแล้ว แวมไพร์หนุ่มหัวเราะเบาๆ ที่สามารถแกล้งคนตัวเล็กได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาขยี้เรือนผมสีฟ้าเล่น
“ล้อเล่นน่ะ”
“เอ๊ะ...”
ล้อเล่นอย่างงั้นหรอ...
“แค่อยากจะพูดให้เห็นภาพมากขึ้น ดังนั้นไม่ต้องไปคิดมากหรอก”
“...”
คุโรโกะไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีความจริงมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าท้ายที่สุดเขาก็พยายามไม่เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจ บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง
“เอาล่ะ สรุปง่ายๆ คือนายไม่เชื่อใจฉันสินะ งั้นฉันก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากต้องทำให้นายเชื่อใจ ไม่งั้นที่ฉันมาหานายวันนี้ก็คงจะเปล่าประโยชน์”
“เปล่าประโยชน์? หมายความว่าที่คุณมาหาผมเพราะมีเป้าหมายอื่นหรอครับ?”
“ความจริงช่วงเวลาที่ฉันหายไป ฉันไปตามหาอะไรบางอย่างมาและมันทำให้ฉันมีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆมากขึ้น ฉันจึงได้ตามหานายเพื่อจะมาขอร้องอะไรบางอย่าง แต่พอฉันได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากนาย ฉันก็มั่นใจได้เลยว่านายคงไม่ยอมทำตามที่ฉันขอแน่”
“...คำขอที่ว่าคงไม่ใช่คำขอให้ผมไปฆ่าอาคาชิคุงให้เร็วขึ้นนะครับ”
แวมไพร์หนุ่มหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่อะไรที่โหดร้ายแบบนั้นหรอก มันเป็นคำขอที่ง่าย...และมันก็ไม่ส่งผลกระทบกับใคร”
“...”
“แต่ก็อย่างที่ฉันบอกไป ถ้านายไม่เชื่อใจฉัน นายก็คงไม่มีทางทำตามคำขอของฉันหรอก”
“งั้นคุณจะทำยังไงล่ะครับ บังคับผมหรอ?”
ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้ม “ฉันไม่ใช้วิธีป่าเถื่อนแบบนั้นหรอก”
คำพูดปริศนาทิ้งท้ายไว้พร้อมกับความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในอก ชายหนุ่มค่อยๆ เชยปลายคางคุโรโกะขึ้นอย่างอ่อนโยน ฝ่ามือแข็งแรงลูบแก้มขาวนวลเนียนอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีฟ้าเข้มดุจสีของน้ำทะเลลึกจ้องเข้ามาในดวงตาสีฟ้าอ่อนราวกับเป็นการมองทะลุเข้ามาถึงในความคิดของคุโรโกะ อดไม่ได้ที่เด็กน้อยจะเผลอหลบสายตานั้นด้วยความหวาดระแวง รู้สึกหวั่นใจไม่น้อยว่าแนชจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เพราะไม่ว่าจะแต่ไหนแต่ไรตัวเขาก็ไม่เคยโกหกเนียนหรือปิดบังในสิ่งที่ตัวเองคิดได้เลย
แล้วทันใดนั้นแนชก็ผละออกมาจากตัวเขา แต่ทว่าสายตาที่มองมานั้นเหมือนมีความลังเลอยู่ชั่วครู่ มันเป็นความหวั่นไหวที่คุโรโกะไม่เคยเห็นมันบนแววตาแนชมาก่อน
แวมไพร์หนุ่มค่อยๆ เขยิบถอยออกมา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอนกายล้มนอนลงบนเตียงด้วยท่าหันข้าง ฝ่ามือแข็งแรงดึงคนร่างบางให้ล้มลงมานอนข้างกัน ส่งผลให้สายตาทั้งสองคู่สบตากันอย่างเงียบงัน อาจด้วยเพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ซีเรียสด้วยล่ะมั้ง คุโรโกะถึงได้ไม่รู้สึกเขินเหมือนกับทุกที
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอ่อนๆ ประหนึ่งว่าได้ตัดสินใจอะบางอย่างที่มันยากลำบากอยู่ในใจ
“ฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง นั่นคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้นายเชื่อใจฉัน” แนชลูบแก้มของคุโรโกะ ภายในใจนั้นคนตัวเล็กคิดอยากจะถามออกไปว่าแนชจะโกหกเขาไหม แต่เมื่อเขาได้เห็นสายตาเช่นนั้น...ในหัวใจของเขามันก็ได้บอกให้ตัวเองเชื่อในตัวผู้ชายคนนี้ไปแล้ว
คุโรโกะคลี่ยิ้มหวานเป็นการตอบรับ ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสบนฝ่ามือแข็งแรงอย่างแผ่วเบา
แวมไพร์หนุ่มมองคนตัวเล็ก เขาผ่อนลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นระยะ ก่อนจะเปิดริมฝีปากพูดเสียงเบา
“แวมไพร์ที่อยู่บนโลกนี้มีสองเผ่าพันธุ์คือแวมไพร์ขาวและแวมไพร์มืด ฉันอยู่ในตระกูลของแวมไพร์มืดที่ค่อนข้างจะมีนิสัยดุร้ายและป่าเถื่อน ฉันเป็นแวมไพร์ที่อยู่มานานแล้ว เคยโดนถามเหมือนกันว่าอายุเท่าไรซึ่งตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจ บางทีฉันอาจเกิดหลังยุคน้ำแข็งก็ได้ใครจะไปรู้
“แต่ก็เหมือนมนุษย์...ฉันเองก็มีพ่อแม่เหมือนกัน แต่ว่าแวมไพร์อย่างพวกเราไม่เหมือนมนุษย์ เราไม่ได้มีลูกเพื่อมีความรัก แต่ก็มีบางครอบครัวที่ไม่เห็นด้วยและให้ความรักแก่ลูกเหมือนกับมนุษย์ เรามีลูกกันก็เพื่อสืบเชื้อสายของแวมไพร์ให้คงอยู่ต่อไปในโลกมนุษย์เท่านั้น นั่งจึงเป็นเหตุผลที่แวมไพร์ไม่บางคนเคยได้รับความรักจากพ่อแม่ เพราะสำหรับคนพวกนั้นการมอบความรักให้แก่ลูกในไส้ก็เป็นแค่เรื่องไร้สาระ
“ซึ่งฉันเอง...ก็เป็นหนึ่งในเด็กชั่วร้ายที่ต้องเจอกับเรื่องพวกนั้น”
คุโรโกะชะงักไปครั้นได้ยินเช่นนั้น เขามองแนชด้วยสายตาหวาดหวั่น เริ่มคิดกับตัวเองในใจว่าควรให้อีกฝ่ายหยุดเล่าดีไหม...เขาคิดว่าเวลาที่เราเล่าเรื่องขมขื่นในอดีตมันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและคงจะส่งผลกระทบต่อจิตใจไม่มากก็น้อย เพราะคุโรโกะเชื่อว่าไม่มีใครสามารถหนีอดีตได้
แต่ถึงกระนั้น...แนชกลับต่างออกไป
แวมไพร์หนุ่มดูไม่มีท่าทางสนใจเรื่องความหลังของตัวเอง ไม่มีความรู้สึกเศร้าโศกเจืออยู่บนแวววตา มีแต่ความธรรมดาเรียบเฉยที่เจืออยู่ในดวงตาคู่นั้น ราวกับว่าแนชไม่เคยแคร์เรื่องอดีตของตัวเองมาตั้งแต่แรก
“แวมไพร์ในวัยทารกไม่เหมือนมนุษย์ พวกเราสามารถเดินได้และคิดอ่านเขียนได้เหมือนกับเด็กที่โตแล้ว ฉันเองก็รู้ตั้งแต่เกิดมาแล้วว่าพ่อแม่ไม่รัก พวกเขาไม่เคยรักฉัน และไม่เคยเลี้ยงดู อาจเป็นเพราะตอนนั้นฉันยังไม่มีความรู้สึก...ฉันก็เลยไม่รู้จักคำว่าเสียใจ... แต่ถึงฉันจะมีความรู้สึกฉันก็ไม่สนใจเรื่องของพวกเขาอยู่ดี
“เพราะพวกเขาไม่เลี้ยงดูฉัน ฉันจึงต้องหาอาหารกินเอง” แนชทำเสียงกึ่งหัวเราะ “ก็ตอนนั้นยังเด็กน่ะนะ ก็เลยต้องกินเลือดหนูประทังชีวิต เป็นช่วงเวลาที่เหมือนนรกสุดๆ รู้สึกอยากจะหนีไปให้พ้นๆ แต่ว่าก็ทำไม่ได้...ฉันจึงทำได้แค่รอเวลาที่ร่างกายของฉันจะโตกว่านี้ ฉันจะได้หนีไปจากสถานที่บ้าๆนั่นสักที
“แต่รู้ไหม อย่างน้อยพ่อแม่ของฉันก็มีความรับผิดชอบหนึ่งอย่างนะ” แนชยิ้มให้คุโรโกะ ในขณะที่คนร่างบางกระพริบตาปริบๆ อย่างสงสัย
“เรื่องอะไรหรอครับ?”
“ก็ความรับผิดชอบที่จะตั้งชื่อให้ลูกของตัวเองยังไงล่ะ”
“เอ๊ะ?”
ในขณะที่คุโรโกะกำลังสับสน แนชก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเย็นชา
“พวกเขาตั้งชื่อฉันว่า ‘ลูซิเฟอร์’ นายรู้ความหมายของชื่อนี้ใช่ไหม”
เมื่อได้ยินโทนเสียงอันเย็นชา คนร่างบางก็พูดอะไรไม่ออก พลางค่อยๆเลี่ยงสายตาหนีด้วยความลำบากใจ เพราะลึกๆในใจเขารู้ความหมายของมันดี...
คำว่าลูซิเฟอร์ไม่ใช่ชื่อที่ดีเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญมันถือเป็นชื่ออัปมงคลที่ไม่ควรจะตั้งให้ใครโดยเด็ดดขาด เพราะหากอธิบายตามหลักของเรื่องเล่า ลูซิเฟอร์คือทูตสวรรค์องค์แกที่มนุษย์สร้างขึ้น ว่ากันว่าเขามีรูปกายงดงามเหนือกว่าทูตสวรรค์ตนอื่นๆ แต่ภายใต้ความงามนั้นกลับซ่อนความทะนงที่หลงใหลในอำนาจของตนเอง เขาไม่พอใจที่พระเจ้ารักมนุษย์เขาจึงได้ก่อสงครามขึ้นมา และแน่นอนว่าด้วยพลังอำนาจที่ต่ำต้อยกว่าก็ไม่อาจสามารถนำชัยชนะมาสู่ตัวได้
ผลสุดท้ายรูปกายอันงดงามของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัว เขาละทิ้งพระเจ้าที่เคยนับถือและหนีลงมาอยู่ในนรก กลายเป็นเจ้าชายแห่งดินแดงทัณฑ์บาปด้วยใจที่มอดไหม้เต็มไปด้วยไฟโทสะ แม้เรื่องเล่าจะถูกดัดแปลงหลายต่อหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เรื่องราวมักจะจบลงแบบนี้
ไม่ว่าคนพวกนั้นจะคิดอะไรอยู่ถึงได้ตั้งชื่อแบบนี้ แต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนชในตอนนี้ไม่ได้แตกต่างจากตัวตนของลูซิเฟอร์เลยแม้แต่น้อย
“...ขอโทษนะครับคุณแนช ผมรู้ว่าอาจพูดไม่เข้าหูคุณ แต่ชื่อนั้นมันก็เหมาะกับคุณนะครับ”
แนชหัวเราะ “ก็กะไหวแล้วว่านายต้องพูดแบบนั้น”
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองยกมือขึ้นลูบพวงแก้มขาวอย่างอ่อนโยน
“แม้ว่าพวกเขาจะตั้งชื่อให้ฉันแต่ยังไงพวกเขาก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่ดีอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผล...ที่ฉันลงมือฆ่าพวกเขาในภายหลัง”
คุโรโกะดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ทว่าในทางกลับกัน...แนชกลับหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอราวกับกำลังรู้สึกสะใจกับเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกสุขสมอย่างน้อยครั้งหนึ่งในอดีต
“งั้น...ชื่อแนชที่ว่ามาจากไหนงั้นหรอครับ”
ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก พลางกุมมือบอบบางไว้
“คนสำคัญเป็นคนตั้งชื่อใหม่ให้กับฉัน คนที่มอบความรักและความสำคัญให้กับฉัน เขาคือชีวิตทั้งชีวิตของฉัน...”
“...”
แนชเอ่ยถึงคนที่คุโรโกะไม่รู้จักด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ความห่วงใย เป็นน้ำเสียงของคนที่เห็นคุณค่าความสำคัญของคนที่กำลังกล่าวถึง เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทั้งหมดที่ผู้ชายคนนี้แสดงออกมาตรงๆอย่างไม่ปิดบัง เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้คุโรโกะได้รับรู้ว่าคนๆนั้นคงจะเป็นคนที่มีความสำคัญต่อแนชมาก แววตาของอีกฝ่ายยามเอ่ยถึงช่างมีแต่ความถวิลหาอย่างที่คุโรโกะไม่เคยเห็นแนชเป็นแบบนี้มาก่อน...
ไม่รู้ทำไม...อยู่ๆหน้าอกของคุโรโกะก็รู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมาตรงหัวใจราวกับโดนไฟฟ้าช็อต
‘เป็นอะไรของเรานะ...’
“แล้วจากนั้นเป็นยังไงต่อครับ...” คุโรโกะรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ชายหนุ่มจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา แม้ใจจริงเขาอยากจะถามออกไปแทบขาดใจ ว่าใครกัน...คือคนที่แนชเห็นความสำคัญ แต่สงสัยเพราะเขากลัวว่าจะรับรู้ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ เขาจึงตัดสินใจไม่ถามออกไป...
“หลังจากนั้นหลายร้อยปีฉันก็แข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ครั้งหนึ่งฉันได้ฟังเรื่องเล่าเก่าๆ มาจากผู้ชายคนหนึ่ง เขาได้เล่าว่าทรัพย์สมบัติที่เหล่าแวมไพร์เฝ้าตามหามาหลายร้อยปีคือสิ่งบริสุทธิ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางหาพบ และหากใครได้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติชิ้นนั้น คนๆนั้นก็จะมีชีวิตอมตะอันเป็นนิรันดร์และได้รับสิ่งที่มีค่าเสียยิ่งกว่าหยดเลือดของมนุษย์ผู้เปี่ยมปัญญาเป็นล้านๆหยด
“ตอนแรกฉันคิดว่ามันก็เป็นเรื่องเล่าหลอกเด็ก แต่ว่าไหนๆฉันก็มีชีวิตที่เป็นอมตะทั้งที จะไม่ลองไล่ตามหาความจริงสักหน่อยมันก็คงจะเสียดายชีวิตที่เหลืออยู่น่าดู นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันได้ออกตามหาเลือดบริสุทธิ์
“ไม่รู้ว่านายรู้หรือเปล่านะเท็ตสึยะ แต่เวลาแวมไพร์เลือกกินเลือดของมนุษย์ พวกเขาจะเลือกไปตามรสนิยมของแต่ล่ะคนคล้ายกับการเลือกอาหาร เช่นผู้ชายก็จะเลือกเหยื่อสาวสวยๆอะไรประมาณนั้น แต่ว่าอาหารมันก็มีรสชาติและประเภทของมัน เลือดมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน”
พอมาถึงประโยคนี้คุโรโกะก็ไม่ค่อยตั้งใจฟังนัก เพราะเขารู้มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่ารสชาติเลือดของมนุษย์จะอร่อยหรือแย่นั้นขึ้นอยู่กับจิตใจมนุษย์เจ้าของโลหิต พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือถ้าเป็นคนดีเลือดจะอร่อย ถ้าเป็นคนไม่ดีเลือดก็ไม่อร่อย แค่นั้น
“คำว่าเลือดบริสุทธิ์...พวกคิดตื้นๆก็คงจะพากันคิดว่ามนุษย์ที่มีจิตใจขาวสะอาดคือที่มาที่แท้จริงของเลือดบริสุทธิ์ แต่ว่านันมันผิดอย่างมหันต์”
“เอ๊ะ?”
ทันใดนั้นคนร่างบางก็ต้องดวงตาเบิกกว้างแล้วหันกลับมาตั้งใจฟังอีกครั้ง เมื่อแนชเริ่มเล่ามาถึงจุดสำคัญที่คุโรโกะอยากจะรู้มากที่สุด คนตัวเล็กสบตาแนชอย่างเงียบงันขัดกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความอยากรู้จนอดกลั้นไว้แทบอยู่
“หมายความว่ายังไงหรอครับ เรื่องเลือดบริสุทธิ์ที่ว่า...” คุโรโกะแกล้งทำไขสือเพื่อทำให้แนชยอมเล่ารายละเอียดออกมาให้ได้มากที่สุด
“นั่นมันก็แค่เรื่องโกหกที่พวกแวมไพร์อวดรู้พากันคิดกันไปเอง” แวมไพร์หนุ่มลุกขึ้นจากเตียงแบบเนิบๆ เขาทอดสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างทีมีฝนโปรยปรายด้วยแววตาว่างเปล่า คำพูดที่เขาเปล่งเสียงในเวลาต่อมาราวกับเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่าพูดให้คุโรโกะฟัง
“เลือดบริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอก...”
คนหน้าหวานเอียงคออย่างไม่เข้าใจ แนชเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคุโรโกะจะใช้เวลาอันสั้นนี้ทำความเข้าใจได้หมดทุกเรื่อง ยังไงเสียก็คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าคุโรโกะจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด...
แนชลูบหัวคนตัวเล็กที่นอนอยู่ด้วยแววตารักใคร่ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“จะทำอะไรหรอครับ?” คุโรโกะถามอย่างสงสัย ในขณะที่ชายหนุ่มกดปุ่มโทรศัพท์
“เราคงคุยกันยาว งั้นสั่งอะไรมากินสักหน่อยไหม?” แนชถือหูโทรศัพท์ค้างไว้ พลางมองมาทางคุโรโกะ
ทันทีที่ได้ยินคนตัวเล็กรีบดีดผึงลุกขึ้นจากเตียงนอนทันที ดวงตากลมโตมองแวมไพร์หนุ่มอย่างแง่งอนด้วยแก้มที่พองป่อง รู้สึกแอบหงุดหงิดอยู่ในใจที่ชายหนุ่มตัดเรื่องกลางคันด้วยท่าทางสบายอกสบายใจแบบนั้น ทั้งๆที่ตอนนี้กำลังเข้าเรื่องสำคัญแท้ๆ มันไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งกินอาหารสบายใจนะ!
“คุณแนชครับ! นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมา---“
จ๊อก~~~
“...”
“...”
แนชมองคุโรโกะด้วยสายตาเรียบๆ ในขณะที่คนตัวเล็กเม้มปากแน่นด้วยหน้าที่แดงก่ำ
“ยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันไม่ใช่หรอ ท่าจะหิวไม่น้อยนะ” ชายหนุ่มชำเลืองสายตามองเมนูอาหารของโรงแรมอย่างปกติ ต่างกับคุโรโกะที่ได้แต่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วยพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงทั้งสองข้าง
“จะกินอะไรดีล่ะเวลาดึกแบบนี้ เอาเป็นอาหารเบาๆไหม หรือจะเป็นอาหารอิตาเลียนดี?”
คนตัวเล็กที่กลั้นร้องไห้ได้สำเร็จ ตะโกนออกไปอย่างเหลือดเพื่อกลบความอับอายว่า
“ไม่รู้ด้วยแล้วครับ!”
...
...
...
.
.
.
.
.
.
“ฝนยังไม่หยุดตกอีก”
คิเสะบ่นกระปอดกระแปดเป็นหมีกินผึ้ง ระหว่างนั่งตรวจข้อสอบอยู่ชั้นล่างของคฤหาสน์ บรรยากาศเย็นสบายเป็นใจและแสงไฟจากตะเกียงแบบสลัวๆ ความจริงเวลาดึกเงียบสงัดแบบนี้ควรเป็นเวลาที่เขาได้มีสมาธิตรวจข้อสอบและทบทวนเนื้อหาการสอนสำหรับพรุ่งนี้มากที่สุด แต่พอได้ยินเสียงฟ้าผ่าที่ดังเป็นระยะแบบนี้ก็เล่นทำเอาสมาธิแตกกระเจิงไม่เป็นท่าเลย
ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีความร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเริ่มขมวดคิ้วยุ่งด้วยความหงุดหงิด ปลายนิ้วเรียวที่กำลังพิมพ์คะแนนในโน้ตบุ๊คพิมพ์ถูกๆผิดๆจนเจ้าตัวชักจะเริมหงุดหงิดตัวเอง แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้อดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อมีอะไรบางอย่างร้อนๆ มากระทบลงบนแก้มกะทันหัน
“เหวอ! ร้อน!!”
คิเสะกระโดดออกมา พลางร้องโวยวายด้วยความตกใจ ครั้นเหลือบสายตามองหาที่มา เขาก็เห็นมิโดริมะกำลังถือแก้วกาแฟร้อนๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“อะไรกันมิโดริมัจจิ อย่าทำให้ตกใจสิ”
มิโดริมะยักไหล่อย่างไม่แยแส “ก็เห็นทำหน้าตาหงุดหงิดแบบนั้นแล้วมันรู้สึกโมโหตะหงิดๆ”
คิเสะแอบบ่น “อะไรเล่า ทีตัวเองยังทำหน้าตาเป็นปลาตายตลอดยังไม่มีใครว่าเลย”
“เอาเถอะ โดยส่วนตัวฉันชอบตอนที่นายทำตัวเป็นไอ้บ้ามากกว่ามาดอาจารย์เคร่งขรึมแบบนี้มากกว่า”
“ไอ้บ้าหรอ...” คิเสะยิ้มเจื่อน “ยังไงฉันก็เป็นอาจารย์นา... โดนพูดแบบนั้นมันก็...”
“หึ”
มิโดริมะตัดบทสนทนานั้นด้วยการพ่นลมออกจมูกแบบไม่พอใจหนึ่งที ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาตรงข้ามคิเสะ พลางนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟอย่างสบายใจ
คิเสะมองท่าทางของแวมไพร์สหายด้วยสายตาไม่เข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเริ่มกรอกคะแนนของนักเรียนในโน้ตบุ๊คต่อ
“เป็นอาจารย์นี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ” มิโดริมะเปรยขึ้นแบบเรียบๆ เรียกให้คิเสะต้องเหลือบสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ
“อารมณ์ไหนถึงได้มาพูดเอาป่านนี้ล่ะ ฉันเป็นครูมาหลายปีแล้วนะ ไม่เคยเห็นนายพูดอะไรแบบนี้มาก่อน”
“ก็ตอนแรกไม่ได้ใส่ใจ พอมาตอนนี้ก็เลยเริ่มสงสัย”
“สงสัยว่า?”
“แทนที่จะเป็นครูในโรงเรียนหญิงล้วน ทำไมนายถึงได้ไปสอนในโรงเรียนชายล้วนล่ะ?”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง” คิเสะยักไหล่ “ตอนแรกก็เคยไปฝึกสอนอยู่โรงเรียนหญิงล้วน แต่ว่าสงสัยฉันจะหล่อเกินไป พวกสาวๆดูสนใจความสัมพันธุ์อันตรายเชิงชู้สาวระหว่างนักเรียนกับอาจารย์กันแบบออกนอกหน้าเลยล่ะ ถ้าพูดตามตรงฉันก็ชอบสาวๆน่ารักนะ แต่กลิ่นเลือดของเด็กผู้หญิงวัยละอ่อนมันหอมหวนจนเล่นทำเอาหน้ามืดตามัว ขืนอยู่นานๆจะพลอยมีปัญหาเอา”
“ก็เลยมาสอนผู้ชายแทนว่างั้น?” มิโดริมะยักคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก ในหัวจินตนาการถึงคิเสะมีความสัมพันธุ์ลับๆกับนักเรียนชายเวลาหลังเลิกเรียน...
“มิโดริมัจจิ อย่าคิดอะไรที่มันน่ากลัวแบบนั้นสิ...” คิเสะยิ้มแห้ง พลางเกาแก้มตัวเองเก้อๆ ก่อนจะผุดรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก “ แต่ว่าถ้าเป็นคุโรโกจจิมันก็ไม่แน่หรอก”
มิโดริมะถอนหายใจออกจมูกเฮือกใหญ่ “ถ้านายคิดแบบนั้นก็คงต้องฝ่าด่านอาคาชิไปให้ได้ก่อนนะ”
คำพูดของแวมไพร์หนุ่มเรียกเสียงหัวเราะของคิเสะได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเหลืองทองอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา หลงคิดไปแวบหนึ่งว่านั่นคือคำพูดล้อเล่นของมิโดริมะ
“หมายความว่ายังไงน่ะ อาคาชิจจิไม่ได้เป็นอะไรกับคุโรโกจจิสักหน่อย”
“ทำเป็นพูดดีไป ไม่ใช่นายเองก็รู้อยู่แก่ใจหรอ”
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มเจื่อน เริ่มนึกถึงตอนคุยโทรศัพท์กับแวมไพร์เจ้าของเรือนผมสีแดง พอเขาบอกอาคาชิไปว่าคุโรโกะหายตัวไป อีกฝ่ายก็ไม่ลังเลแล้วรีบออกไปตามหาคนร่างบางทันที ออกตัวขนาดนี้ใครมองไม่ออกว่ามีใจก็โง่เต็มที
แต่ว่า...
“...แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุโรโกจจิจะชอบเขาตอบนี่ ในเมื่ออาคาชิจจิทำกับคุโรโกจจิขนาดนั้น”
“ในละครก็มีบ่อยๆนี่ พอคนที่ทำร้ายกลับตัว เรื่องราวมันก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง” มิโดริมะเอ่ยดักอย่างเรียบๆ ส่งผลให้คิเสะสะอึกไปอย่างพูดไม่ถูก
“นะ...นั่นมันก็”
“คุโรโกะเองก็มีใจให้อาคาชิเหมือนกัน ถึงจะแค่เล็กน้อยก็เถอะ”
“หา? เอาจริงดิ” ดวงตาของคิเสะเบิกกว้าง “ทั้งๆที่อาคาชิจจิรุนแรงกับคุโรโกจจิขนาดนั้น แต่ว่าคุโรโกจจิก็ยัง...” คิเสะชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ชายหนุ่มเม้มปากอย่างลำบากใจ ก่อนจะค่อยๆเปิดปากพูดคำต่อมาอย่างยากลำบาก “คุโรโกจจิก็ยังจะไปชอบเขาอีกอย่างงั้นหรอ...”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” มิโดริมะวางแก้วกาแฟลงพลางถอนหายใจ “ความชอบและรสนิยมของคนเรามันไม่เหมือนกันนี่ แต่เท่าที่สังเกต ดูเหมือนคุโรโกะจะชอบคนที่ออกแบดๆดูอันตรายหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้ใจตัวเองไหม แต่ถ้าคุโรโกะชอบคนแบบนั้นเราก็พูดอะไรไม่ได้”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย...” คิเสะเอ่ยเสียงเบาด้วยความตกใจ “คุโรโกจจิหน้าตาออกจะน่ารักแท้ๆ ไม่นึกว่าจะมีมุมดาร์กแบบนั้น”
“แต่ว่า...ความชอบของคุโรโกะมันเบาบางเกินไป ถ้าอาคาชิยังไม่รีบปรับปรุงตัว คุโรโกะได้ถูกคนอื่นคาบไปกินแน่...”
คิเสะไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาไม่รู้หรอกว่าคนที่จะมาคาบคุโรโกะไปกินในภายหลังนั้นคือใคร เขาจึงเลือกที่จะนั่งกรอกคะแนนเงียบๆโดยไม่พูดอะไร แต่ทว่าเมื่อชื่อของแวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงดังเข้ามาในหู เขาก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายไปอยู่ที่ไหนกันนะ จำได้ว่าตั้งแต่คุยกันไปตอนสุดท้ายก็ไม่เจอตัวอีกเลย ไม่รู้ว่าตามหาตัวคุโรโกะเจอหรือยัง
“จะว่าไปแล้วอาคาชิจจิล่ะ?”
“ยังไม่กลับ” มิโดริมะตอบเรียบๆ
“ห๊ะ ยังไม่กลับ?!” คิเสะร้องออกมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “นี่มันตี 2 แล้วนะ แน่ใจหรอว่าเขายังไม่กลับ”
“ถ้าไม่จริงฉันคงไม่มานั่งรอหรอก” มิโดริมะกล่าวอย่างหัวเสีย “หมอนั่นออกไปตามหาคุโรโกะตั้งแต่ตอนที่คุยกับนายนั่นแหละ ไอ้คนซึนเดเระเอ้ย ปากก็บอกไม่ได้ชอบไม่ได้รัก แล้วที่กำลังทำอยู่นี่เขาเรียกว่าอะไร พ่อห่วงลูกรึไง ให้ตายสิ...”
“ที่พูดนั่นหมายถึงใคร”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาอย่างเย็นเยียบ มิโดริมะกับคิเสะสะดุ้งเฮือกพร้อมกัน ก่อนจะรีบหันหน้าไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดฟันลงมาพร้อมกับแสงสว่างแปลบปลาบจากด้านนอกเห็นเป็นเงาคนตะคุ่มๆ ประตูที่เปิดออกกว้างเผยให้เห็นสายฝนที่กำลังตกหนักกับร่างของใครบางคนที่ยืนจังก้าอยู่ตรงบานประตู ผู้ชายคนนั้นตัวเปียกปอนไปทั่วทั้งตัว เส้นผมสีแดงทับทิมอันเปียกชื้นหยดน้ำลู่ลงไปตามโครงหน้าอันหล่อเหลา ใบหน้าอันขาวซีดช่างดูใสกระจ่างราวกับกระดาษครั้นถูกความหนาวเย็นจู่โจม
อาคาชิก้าวเท้าเดินเข้ามาภายใน หยดน้ำไหลเป็นทางจากเสื้อผ้าที่เปียกฝน รองเท้าหนังที่เคยย่ำไปบนแอ่งน้ำเฉอะแฉะเลอะเป็นรอยโคลนเมื่อก้าวเดินไปตามพรม คนร่างสูงไม่ได้พูดอะไรระหว่างกำลังเดินตรงขึ้นบันได แต่พอดูจากสีหน้าที่เหมือนใกล้จะฆ่าใครตายกับคิ้วที่ขมวดยุ่ง มิโดริมะก็พอจะเดาได้รางๆว่าอาคาชิคงตามหาในสิ่งที่ต้องการไม่พบ
“อาคาชิ” มิโดริมะรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่ครั้นแวมไพร์หนุ่มหันหน้ามา มิโดริมะก็เริ่มคิดกับตัวเองในใจว่าไม่น่าเรียกกลับมาเลย
“มีอะไร” อาคาชิเอ่ยด้วยสุ้มเสียงหงุดหงิด
“เอ่อ คือเรื่องคุโรโกะน่ะ...”
“ไม่รู้ หาไม่เจอ”
อาคาชิพูดแทรกอย่างรวดเร็วด้วยวาจาห้วนๆ ไฟโทสะแล่นเข้ามาในสมองยามได้ยินชื่อเด็กตัวปัญหา เขาไม่สนใจมิโดริมะที่ทำสีหน้าเหมือนไปต่อไม่ถูก ชายหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะทำเสียงเดาะลิ้นแบบที่เจ้าตัวไม่ค่อยทำบ่อยนัก บ่งบอกได้อย่างดีว่าตอนนี้กำลังอยู่ในโหมดที่ไม่อยากคุยกับใคร
“เสร็จธุระแล้วใช่ไหม”
“อะ...อืม”
เมื่อได้ยินคำตอบ อาคาชิก็รีบเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดอันกว้างขวางเพื่อรีบตรงเข้าห้องของตัวเอง แผ่นหลังกว้างที่เห็นอยู่ไกลๆมีไอสีดำอันขุ่มมัวแผ่โดยรอบ มิโดริมะกับคิเสะมองแวมไพร์หนุ่มจนกระทั่งลับสายตา ก่อนจะหันหน้ากลับมามองตากันด้วยแววตาสับสน ทว่าจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังตึงๆจากด้านบน ซึ่งอาคาชิคงจะโมโหจนพาลทำลายข้าวของระบายอารมณ์อีกแล้ว ความจริงที่ว่าอาคาชิเป็นคนอารมณ์รุนแรงนั้นพวกเขารู้กันดี แต่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นอาคาชิอารมณ์เสียด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มาก่อนเลย
“ของหายากนะนี่” คิเสะยิ้มกว้าง แต่มิโดริมะต้องหุบรอยยิ้มนั่นด้วยการทุบหัวอีกฝ่ายไปหนึ่งตุบ “โอ๊ย! มันเจ็บนะมิโดริมัจจิ”
“ก็ดูพูดเข้า หายงหายากอะไรล่ะ นายชอบที่เห็นหมอนั่นอารมณ์ร้ายแบบนั้นหรือไง”
“แต่สาเหตุที่อาคาชิจจิอารมณ์ร้ายก็เพราะคุโรโกจจิไม่ใช่หรอ”
“นั่นแหละคือประเด็นที่ฉันอยากให้นายสนใจ”
คิเสะยิ้มแห้ง พลางยกนิ้วเกาแก้มอย่างเก้อๆ “หมายความว่ายังไงหรอฮะ”
มิโดริมะถอนหายใจ “ถ้านายเป็นอาจารย์จริงก็หัดใช้หัวหน่อยสิ ไหวพริบน่ะไหวพริบ”
“เอ่อ...ถ้าจะพูดถึงขนาดนี้ก็ด่าว่าโง่เลยก็ได้นะฮะ”
“ก็อยากอยู่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลา” แล้วมิโดริมะก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังในฉับพลัน “ฟังนะ ฉันคิดว่าตอนนี้เรื่องมันชักจะแปลกๆแล้ว”
“แปลกงั้นหรอ...”
“ใช่” คิ้วเรียวสีมรกตขมวดเข้าหากันอย่างคิดหนัก “การที่อาคาชิตามหาตัวคุโรโกะไม่เจอแบบนี้ถือว่าแปลกมาก แค่ตามหามนุษย์คนเดียวมันไม่คณามือหมอนั่นเลยด้วยซ้ำ”
“พอนายพูดแบบนั้นมันก็...”
“มันทำให้ฉันสงสัยว่าตอนนี้คุโรโกะอยู่ที่ไหนกันแน่ ฉันว่าไม่น่าใช่ลักพาตัว แค่เด็กธรรมดาคนเดียวไม่น่ามีค่าอะไรหรอก”
“งั้นนายจะบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตปริศนามาลักพาตัวเขาไปหรือไง บางทีคุโรโกจจิอาจจะแค่ทนไม่ไหวกับชีวิตแบบนี้แล้วหนีไปก็ได้ ดูในสิ่งที่อาโอมิเนจจิทำกับเขาซะก่อน” คิเสะคิดอีกมุม มิโดริมะส่ายหน้าปฏิเสธ
“คุโรโกะถูกอาคาชิพาตัวมาเพราะหมอนั่นเสนอว่าจะตามหาพี่ชายให้ จนกว่าคุโรโกะจะได้เจอพี่ชายฉันไม่คิดว่าเขาจะยอมแพ้แล้วหนีไปง่ายๆแบบนี้หรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น...”
“แล้วอะไรมากกว่านั้นที่ว่านี่มันคืออะไรล่ะฮะ”
มิโดริมะถอนหายใจออกจมูกดังพรืดอย่างหน่ายใจ พลางมองดูคิเสะด้วยแววตาตำหนิ
“นายจะให้ฉันคิดคนเดียวเลยหรือไง”
“โธ่ ก็ฉันไม่เก่งเรื่องคิดอะไรซับซ้อนแบบนี้นี่”
“ตอนอยู่โรงเรียนนายจับตาดูอิมาโยชิอยู่ไม่ใช่หรือไง เพราะนายสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นแวมไพร์ลูกน้องของคุณ... ไม่ใช่สิ! คือฉันหมายถึงแนชน่ะ ไม่คิดว่าหมอนี่จะมีความเกี่ยวข้องอะไรบ้างหรอ”
“เอ่อ...ถึงฉันจะสงสัยเขา แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่มีหลักฐานนี่นา จะให้ไปกล่าวหาลอยๆมันก็...”
ทันใดนั้นคิเสะก็ชะงักเหมือนกับคิดอะไรได้บางอย่าง
“คิเสะ?” มิโดริมะสังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติเช่นกัน ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆอย่างสงสัย “นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“อ๊ะ! เอ่อ...ฉัน...” คิเสะสะดุ้งราวกับวิญญาณถูกดึงเข้าร่าง ดวงตาสีเหลืองทองมองใบหน้านิ่งขรึมใต้กรอบแว่นอย่างชั่งใจ
แวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีมรกตได้เห็นแบบนั้นถอนหายใจอย่างรำคาญ “มีอะไรก็พูดออกมาน่า”
“คือว่า...” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง “ที่พูดมาก่อนหน้านี้น่ะ เรื่องที่คุโรโกจจิชอบผู้ชายที่ดูแบดบอย แบบหล่ออันตรายน่ะ คือแบบว่าฉันแค่คิดนะ...”
“คิดอะไร?”
“ก็สเปกผู้ชายที่คุโรโกจจิชอบน่ะ มันเหมือนแนชมากเลยไม่ใช่หรอ”
“เอ๊ะ?”
“ฉะนั้นมีความเป็นไปได้ไหมที่ตอนนี้คุโรโกจจิจะอยู่กับแนช แล้วก็ด้วยพลังเวทมนตร์ของผู้ชายคนนั้น ฉันว่ามันไม่น่าใช่เรื่องยากนะที่คนๆนั้นจะสามารถหลบการตามหาของอาคาชิจจิได้น่ะ”
เมื่อได้ยินข้อสันนิษฐานของคิเสะ มิโดริมะก็ยืนช็อกไปทั้งร่างเหมือนมีคนเอาคุ้นมาทุบหัว เขาเอามือขึ้นมากุมคาง พลางทำปากงึมงำด้วยสีหน้าซีดเผือด ก่อนที่ดวงตาคมจะเบิกกว้างถึงขีดสุด
“มิโดริมัจจิ?” คิเสะสะกิดอีกฝ่ายเบาๆด้วยสายตาหวาดหวั่น “มีอะไรงั้นหรอ?”
มิโดริมะเหลือบสายตามองคิเสะอย่างหวั่นใจ “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง...นายคิดว่าคุโรโกะจะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า”
“เรื่องนั้นก็ไม่รู้สิ...”
บทสนทนาขาดตอนอย่างกะทันหัน แวมไพร์หนุ่มทั้งสองนั่งนิ่งอย่างครุ่นคิด แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถหาคำตอบของเรื่องนี้ได้ เพราะทั้งมิโดริมะกับคิเสะต่างไม่รู้ถึงความสัมพันธุ์ระหว่างแนชกับคุโรโกะ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าคุโรโกะจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
ด้วยลางสังหรณ์บางอย่างในใจ มิโดริมะรู้สึกใจไม่ดีอย่างไรชอบกล...
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคิเสะ ฉันมีเรื่องที่ต้องสืบหน่อย”
ว่าแล้วมิโดริมะก็รีบพุ่งขึ้นบันไดไปทันทีโดยไม่ปล่อยให้คิเสะได้เอ่ยตอบอะไร แวมไพร์หนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทองมองมิโดริมะอย่างอึ้งๆ รู้สึกตัวอีกทีอีกฝ่ายก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว
“สืบงั้นหรอ? แล้วมิโดริมัจจิจะสืบยังไง”
คิเสะพูดกับตัวเองอย่างสงสัย แต่คิดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร คนร่างสูงจึงเริ่มตรวจข้อสอบของนักเรียนต่อ เสียงแก็กๆของแป้นคีย์บอร์ดดังระรัวพร้อมกับแสงไฟสีฟ้าอมขาวที่สะท้อนบนหน้าจอ ทว่าจากนั้นไม่นานอยู่ๆปลายนิ้วเรียวก็หยุดชะงัก
“จะว่าไป...ทำไมแนชกับอาคาชิถึงมีเป้าหมายที่คุโรโกจจิล่ะ”
คิเสะยกมือขึ้นมากุมคางอย่าใช้ความคิด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขารู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ อะไรบางอย่างที่เหมือนพวกเขาทุกคนมองข้ามไป...
จะว่าไปพวกเขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของคุโรโกะเลย...ไม่เคยรู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เด็กคนนั้นเป็นใคร ทำไมอาคาชิจะต้องพามาที่นี่ เด็กคนนั้นมีอะไรพิเศษ ทำไมทุกคนถึงได้หลงใหลและเห็นความสำคัญกันนักหนา...
เรื่องต่อหลายเรื่องที่เข้ามาในหัวทำให้คิเสะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังดำดิ่งสู่ปริศนาที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน อาจเพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อยู่เพียงแค่ใต้จมูก ทุกคนจึงได้พากันมองข้ามถึงปริศนาที่พวกเขาไม่เคยใส่ใจจะสังเกต มันเป็นปริศนาที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ใกล้ตัวพวกเขามากที่สุด
...ความจริงแล้วตัวตนของคุโรโกะเป็นใครกันแน่...
...
...
...
.
.
.
.
.
“อึก...อืม”
รสชาติอันหอมหวานของไวน์คุณภาพดีไหลผ่านคออย่างเชื่องช้า ถึงจะเป็นไวน์มียี่ห้อแต่มันก็ไม่ใช่ไวน์ที่มีรสแรงบาดคอจนเกินไป แต่ถึงมันจะไม่ใช่ไวน์ที่ฤทธิ์แรงมากนักแต่มันก็เริ่มทำให้คุโรโกะรู้สึกเมาแบบกรึ่มๆ
“อีกหน่อยสิเท็ตสึยะ” แนชมองดูคุโรโกะที่กำลังเมาได้ที่อย่างเอ็นดู ก่อนจะรินไวน์ใส่แก้วเพิ่ม คุโรโกะน้อยเอียงหัวไปมาอย่างเลื่อนอลอย ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาจรดริมฝีปากอย่างว่าง่าย รสชาติแอลกฮอล์เข้าไปเป็นไปส่วนหนึ่งในร่างกาย ดึงสติของคุโรโกะให้ทะยานขึ้นไปเหนือสามัญสำนึก
ระหว่างที่กำลังทานมื้อดึกกันแนชก็เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังหลายอย่าง แต่ว่าคุโรโกะไม่รู้ว่านี่เป็นแผนของแวมไพร์หนุ่มหรือเปล่า เพราะระหว่างที่กำลังนั่งกินไปฟังไป คุโรโกะก็โดนฤทธิ์ของแอลกฮอล์ค่อยๆทำให้สติมัวเมาทีล่ะน้อย จนคนร่างบางชักจะเริ่มสับสนกับตัวเองแล้วว่าตกลงแนชได้พูดอะไรไปแล้วบ้าง ทำให้คุโรโกะแอบโทษตัวเองอยู่ในใจว่าไม่น่าอยากรู้อยากลองขอดื่มไวน์ด้วยเลย มันถึงทำให้เขาเสพติดอยากกินมันมากขึ้นๆเหมือนตอนนี้ยังไงล่ะ
“และฉันก็ได้เล่าเรื่องของตัวเองไปหมดแล้ว”
สิ้นเสียงของแนชคุโรโกะก็สะอึกขึ้นมาเบาๆ ดวงตาที่ง่วงงุนมองคนร่างสูงตรงหน้าด้วยแววตามีคำถาม ก่อนที่เขาจะบังคับตัวเองให้เปิดริมฝีปากพูดอย่างยากลำบาก
“เอ๋~ หมดแล้วหรอครับ ผมรู้สึกว่ายังจับใจความไม่ได้เลย”
“อาจเพราะนายเมาล่ะมั้ง แต่ว่าไม่ต้องไม่สนใจหรอก เรื่องเก่าๆของแวมไพร์ที่อยู่มานานก็มีแต่เรื่องน่าเบื่อทั้งนั้นแหละ” แนชกล่าวแบบยิ้มๆ ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบแบบเนิบๆ
พวงแก้มเนียนบัดนี้ค่อยๆขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆจากฤทธ์ของแอลกฮอล์ที่กรุ่นอยู่ในร่างกาย เขามองริมฝีปากหยักได้รูปของแนชที่จิบไวน์ด้วยแววตาหลงใหล ก่อนที่เขาจะยกไวน์ขึ้นจิบบ้างด้วยดวงตาลอยๆ
“อึก...แล้วเรื่องพวกอาคาชิคุงล่ะครับ ช่วยเล่าให้ผมฟังอีกครั้งได้ไหม คุณรู้จักพวกเขามาก่อนใช่หรือเปล่า”
“รู้จักสิ” แนชยิ้มมีเลศนัย “ฉันเป็นคนดูแลพวกเขาเองในตอนที่เจ้าพวกนั้นยังเด็ก แต่ตอนนี้ก็ตัวใครตัวมันแล้วล่ะ”
คนตัวเล็กทำตาปรือๆ พลางสะอึกเพราะอาการเมาเป็นระยะ “เอ๋~ ทะเลาะกันหรอครับ อึก...”
“ประมาณนั้น ก็แค่ความเห็นไม่ลงรอยกัน...”
“อึก...เรื่องอะไรหรอครับ เกี่ยวกับอาคาชิคุงไหม?”
“เรื่องนั้นเป็นความลับนะ” แวมไพร์หนุ่มยิ้มมุมปากพลางรินไวน์ให้คนตัวเล็กเพิ่ม
คุโรโกะกลืนไวน์ลงคอไปครึ่งแก้ว แม้พวงแก้มจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด แต่คุโรโกะก็ยังคงพยายามประคองสติตัวเองไว้อยู่
“จะว่าไป อึก...คุณมีเพื่อนหรือเปล่าครับ ”
“เพื่อนงั้นหรอ...” แนชหลุบสายตาต่ำ “เมื่อก่อนก็เคยมีอยู่คนนึง แต่ไม่รู้ว่าเรียกเพื่อนได้เต็มปากหรือเปล่า ฉันกับหมอนั่นไม่ค่อยจะลงรอยกัน”
“อึก...แล้วเขาไปไหนล่ะครับ...”
“ตายไปแล้ว”
เสียงเย็นเยียบขัดกับรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า คุโรโกะมองใบหน้าหล่อเหลาที่พูดจาโหดร้ายเช่นนั้นด้วยดวงตาง่วงปรือ อาจเพราะเขากำลังไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัวจึงทำให้ตัวเองไม่อาจรู้ได้ว่ามันมีความโหดร้ายเจืออยู่บนคำพูดนั้นมากแค่ไหน
“แล้วเรื่องที่คุณบอกว่าจะขอร้องผมล่ะครับ” คุโรโกะสะอึกหนึ่งครั้ง “ถ้าคุณไม่รีบพูดตอนนี้ ผมจะหลับแล้วนะครับ”
“นั่นสินะ” แนชกล่าวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของคุโรโกะครั้นเห็นดวงตากลมโตเริ่มจะปรือๆ
เวลาคุโรโกะเมาแบบนี้ช่างน่ารักจริงๆ แต่อีกนัยนึงมันก็สะดวกกับเขาเหมือนกัน คุโรโกะจะได้ตอบเขาออกมาตามตรงโดยไม่เกี่ยวกับความรู้สึก
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เท็ตสึยะ... นายเคยสงสัยอะไรที่มีแค่ฉันที่ตอบได้หรือเปล่า”
แวมไพร์หนุ่มนั่งเท้าคาง พลางยกยิ้มบางเล็กๆบนมุมปาก อีกมือหนึ่งขยับแก้วไวน์เล่นไปมาอย่างสบายอารมณ์ คนตัวเล็กที่กำลังมึนเมากระพริบตามองของเหลวที่กระเพื่อมอย่างมีชีวิตชีวาในแก้วของแนชอย่างง่วงปรือ ริมฝีปากหยักแย้มยิ้มพลางพึมพำว่าสวยจัง
แนชส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ปลายนิ้วแข็งแรงเชยปลายคางมนขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายสบตาเขา
“ไม่เอาน่าเท็ตสึยะ ตังใจฟังที่ฉันพูดหน่อยสิ”
“เอ๋~ ผมก็ฟังอยู่นะครับ” คนเมาเถียงอย่างน่ารัก ก่อนจะยื่นแก้วไวน์ไปหาแนช เป็นการบอกอีกฝ่าอย่างอ้อมๆ ว่ารินเพิ่มให้หน่อย ซึ่งแนชก็ทำตามคำขอนั้นด้วยความยินดี
“แล้ว...” น้ำไวน์สีเลือดหมูอันมีชีตชีวาค่อยๆ ไหลลงไปในแก้วไวน์ทรงสวย ริมฝีปากหยักแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “ตกลงนายมีเรื่องอะไรที่อยากรู้อีกหรือเปล่า ไม่งั้นคราวหน้าจะไม่มีโอกาสได้ถามแล้วนะ”
“อึก...” เด็กน้อยสะอึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจรดริมฝีปาก รสชาติแอลกฮอล์ค่อยๆไหลลงคอไปอย่างเชื่องช้า คนตัวเล็กทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างรู้สึกดี พลางเอียงหัวไปมาอย่างเลื่อนลอย “เรื่องคำถามผมก็มีนะครับ...แต่คุณแนชคงไม่ตอบผมหรอก”
“แน่ใจได้ยังไง ไม่ลองถามออกมาก่อนล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาสีฟ้าครามก็เปล่งประกายซุกซนแปลกๆ ริมฝีปากอวบอิ่มแย้มยิ้มหวานพร้อมพวงแก้มที่ขึ้นสีแดงเรื่อ
“ได้หรอครับ งั้นผมจะถามล่ะน้า~~”
ทันทีทันใดนั้นเองคุโรโกะก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาแนชอย่างอ้อยอิง สิ่งที่กั้นคนทั้งสองไว้มีเพียงแค่โต๊ะตัวเล็กๆตัวเดียว แต่ไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ของแอลกฮอล์หรือเปล่า อยู่ๆคุโรโกะก็ค่อยๆปีนป่ายขึ้นมานั่งคร่อมบนตักคนร่างสูงอย่างเนิบช้า สองขาเรียวบางอ้าคร่อมขาที่นั่งไขว่ห้างของอีกฝ่าย สองแขนบอบบางโอบกอดรอบคอของชายหนุ่มไว้ ครั้นคนร่างบางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ชิดมากเท่าไรแนชก็ยิ่งได้กลิ่นของแอลกฮอล์เด่นชัด ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านเรื่องแบบนั้นมานับไม่ถ้วนทำให้แวมไพร์หนุ่มไม่ค่อยมีท่าทีตกใจนัก แนชยกยิ้มเล็กอย่างเป็นคำถามแก่คนร่างบาง ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปเกี่ยวตวัดเส้นผมสีฟ้าเล่น
“ปกติเวลาถามคำถามเขาทำกันแบบนี้หรอ” แวมไพร์หนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ คุโรโกะกระพริบตามองอีกฝ่าอย่างมึนเบลอ ไม่ทันได้คิดว่าคำพูดนั้นคือคำถาม
“เอ๋~ ผมก็แค่อยากพูดกับคุณใกล้ๆเท่านั้นเอง มันผิดหรอครับ”
“เปล่า ไม่ผิดหรอก” ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ ฝ่ามือหนาลูบผ่านแผ่นหลังลงมาโอบเอวบอบบางอย่างหลวมๆ “แล้วว่าไงล่ะ โอกาสสุดท้ายแล้วนะ”
“คือผมสงสัยน่ะครับ สงสัยมาได้สักพักแล้ว”
คุโรโกะพูดเสียงแผ่วๆ ฤทธิ์แอลกฮอล์เริ่มจู่โจมคนตัวเล็กหนักขึ้นทุกที ภาพของแนชเริ่มมึนเบลอและพร่าเลือนจนเหมือนเห็นแวมไพร์หนุ่มมีสองคน คุโรโกะกระพริบตาซ้ำๆเพื่อปรับสภาพการมองเห็น รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะไม่ไหวแล้ว... แต่ทว่าในที่สุดคนร่างบางก็สามารถฝืนตัวเองแล้วพูดในสิ่งที่อยากบอกมานานออกไปได้ในท้ายที่สุด
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“...”
แนชเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาไม่บอกว่าตกใจหรือสงสัยที่คุโรโกะถามอะไรแบบนี้ มีเพียงแค่ความเรียบเฉยที่สะท้อนอยู่บนแววตา ราวกับว่าแนชไม่เคยสนใจว่าคุโรโกะจะสงสัยเรื่องนี้หรือไม่
คุโรโกะที่กำลังมึนเมาแม้ไม่อาจประคองสติของตัวเองไว้ได้ แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอหลับ นิ้วเรียวบางจิ้มที่แก้มแนชจึ๋งๆเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบสักที
ทว่าสักพักหนึ่งริมฝีปากหยักก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มปริศนาบนมุมปาก
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องรู้”
“เอ๋~”
เพราะฤทธิ์ของแอลกฮอล์ส่งผลให้ปฏิกิริยาตอบรับของคุโรโกะค่อนข้างจะเฉื่อยชา คนตัวเล็กเอียงคออย่างงงๆ ก่อนจะแย่งแก้วไวน์ของแนชไปจิบต่อ ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มมองดูเด็กน้อยด้วยแววตานิ่งเรียบ เริ่มคิดในใจว่าการหลอกให้คุโรโกะค่อยๆเมาทีล่ะน้อยก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก
ถ้าเป็นคุโรโกะยามปกติก็คงจะโมโหและรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นแนชหรืออาคาชิ ไม่ว่าจะถามอะไรอีกฝ่ายก็จะตอบแต่คำพูดเดิมๆว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาๆ’ มันเป็นคำพูดที่แย่ยิ่งกว่าคำว่าไม่รู้ เพราะมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าคนพวกนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็เลือกที่จะไม่บอกและเก็บเป็นความลับจากเขา
เวลาอะไร นานแค่ไหน แล้วเมื่อไหร่ที่เขาจะได้รู้ คำถามมากมายเหล่านั้นจู่โจมคุโรโกะทุกครั้งทีได้ฟังคำตอบอันไร้ความรับผิดชอบ มันทำให้คนตัวเล็กรู้สึกโกรธมากแต่ก็รู้ตัวดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่เก็บความรู้สึกด้านลบนั้นไว้ในใจแล้วแกล้งตีหน้ายิ้มทำเหมือนไม่สงสัยอะไร ทั้งที่ความจริงแทบจะเป็นบ้าตายกับการต้องเป็นฝ่ายที่ไม่รู้อะไรเลย...
“อืม...อร่อยจัง” ราวกับไวน์เป็นสารเสพติด คุโรโกะจิบแล้วจิบอีกจนใบหน้าหวานค่อยๆแดงก่ำ ลมหายใจที่ออกมามีแต่กลิ่นหอมอ่อนของแอลกฮอล์ แนชเหลือบมองคุโรโกะอย่างหน่ายใจ แล้วรีบฉวยแย่งแก้วไวน์ออกมาจากมือของคุโรโกะ ก่อนจะรีบผลักออกไปให้ไกลมือคนตัวเล็กให้มากที่สุด
“พอแล้วเท็ตสึยะ ดื่มมากไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“เอ๋ คุณไม่มีสิทธิ์มาห้ามผมนะครับ” คุโรโกะร้องบอก พลางยื่นมือไปมาหมายจะยื้อแย่งแก้วไวน์มาจากแนชให้ได้
“มีสิทธิ์สิ”
ว่าแล้วแนชก็อุ้มคนตัวเล็กขึ้น ก่อนจะพาร่างของอีกฝ่ายไปนอนบนเตียงอย่างนุ่มนวล เด็กน้อยไม่ค่อยดิ้นเท่าที่คิดไว้ ออกจะว่าง่ายเสียด้วยซ้ำ ครั้นหัวถึงหมอนคนร่างบางก็เริ่มตาปรือ ร่างบอบบางบิดเร้าไปมาอย่างง่วงนอนเต็มที สองมือเล็กกอดหมอนใบนุ่นไว้แต่ทว่าก็ไม่ยอมหลับตาสักที
“นี่ คุณแนชครับ” เสียงอ้อแอ้ของคุโรโกะทำให้แนชชะงัก แวมไพร์หนุ่มค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ คนตัวเล็กคลี่ยิ้มหวานก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นลูบแก้มขาวซีดของชายหนุ่มไปมาอย่างอ่อนโยน
“เรื่องที่คุณบอกให้ผมไปฆ่าอาคาชิคุงน่ะ...ผมทำไม่ได้หรอกนะครับ”
“...”
“ผมไม่อยากฆ่าเขา ถึงฆ่าได้ผมก็ไม่อยากทำ แถมอาคาชิคุงก็เพิ่งจะบอกผมมาว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”
คำพูดมากมายเหล่านั้นราวกับเป็นความในใจที่คุโรโกะเก็บไว้มาเนิ่นนาน เมื่อสังเกตจากท่าทางแนชคิดว่าคุโรโกะคงจะพูดมันออกมาโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว คนตัวเล็กดูป้อแป้แบบกรึ่มแอลกฮอล์ ดวงตาสีฟ้าครามหยาดเยิ้มกว่าปกติ เสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่แบบหลวมๆทำให้คุโรโกะดูเซ็กซี่น่ากด
“สิ่งที่ฆ่าแวมไพร์ได้คือมีดกริดสีขาวบริสุทธิ์ที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปหามันจากไหน อาคาชิคุงบอกว่าคนที่จะฆ่าแวมไพร์ได้นั้นจะต้องมีความรักที่บริสุทธิ์ต่อแวมไพร์ตนนั้นจากหัวใจ และแวมไพร์ก็ต้องรักมนุษย์คนนั้ตอบเช่นกัน มันฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากเลยว่าไหมครับ” คุโรโกะหัวเราะร่วน พลางลูบแก้มของแนชไปมาอย่างรักใคร่
“...”
“อาคาชิคุงพูดแต่อะไรแปลกๆ เขาพูดว่าถ้าผมไม่รักเขาและเขาไม่รักผม ผมก็ฆ่าเขาไม่ได้...แถมยังพูดอีกว่าถ้าเขาต้องเป็นคนที่ต้องฆ่าผม เขาก็ไม่มีทางฆ่าผมได้หรอก เพราะเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดกาลและไม่มีใครจะมาพรากเราจากกันได้”
“...”
“ไม่เข้าใจเลยครับ ผู้ชายคนนั้นจะมารักผมได้ยังไงกัน เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย แถมถ้าการฆ่าแวมไพร์มันต้องทำแบบนั้นจริงๆ แล้วทำไมคุณแนชถึงบอกให้ผมไปฆ่าเขาล่ะครับ...”
แม้จะเป็นการเพ้อเพราะความเมา แต่เสียงของคุโรโกะก็เริ่มเจือความเศร้าขึ้นมาน้อยๆ ใบหน้าหวานทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ดวงตากลมโตที่กำลังปรือๆนั้นมีน้ำตาคลออยู่ข้างใน
“คุณไล่ให้ผมไปรักเขาหรอครับ ทั้งที่รู้แบบนั้นคุณก็ยังจะให้ผมไปฆ่าเขาอีก คุณไม่นึกถึงความรู้สึกผมเลยหรอ คุณมาทำให้ผมรู้สึกแบบนี้กับคุณ แต่คุณก็ยังจะผลักไสผมให้ไปรักเขาอีก ตกลงว่าความจริงคุณรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ครับ ได้โปรดบอกผมมาให้ชัดเจนที ผมจะได้มีเหตุผลที่จะรู้สึกกับคุณอย่างซื่อตรงเสียที เกลียดก็คือเกลียด... ชอบก็คือชอบ... แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่ความรัก...”
“...”
แนชมองคนตัวเล็กที่พร่ำเพ้อออกมาเพราะฤทธิ์แอลกฮอล์ด้วยแววตาเรียบเฉย เขาลูบเรือนผมสีฟ้าครามอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้าไปหาแล้วจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน แม้สติของคุโรโกะจะพร่าเลือนแต่เขาก็สัมผัสได้ว่าสิ่งที่แนชกระทำคือความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง
“ขอโทษนะ...เรื่องเหตุผลหลักๆฉันคงบอกนายไม่ได้” รอยยิ้มเศร้าฉายบนใบหน้าขาวซีด “แต่ว่าที่ฉันให้นายไปฆ่าเขาทั้งที่รู้ว่านายทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าให้นายทำเพื่อฉันหรอก”
“เอ๊ะ...”
“ฉันให้นายไปฆ่าเขาเพื่อตัวนายเอง ทุกอย่างที่นายทำมันจะส่งผลต่อตัวนายเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันบอกให้นายทำ เพราะว่ามันมีแค่นายเท่านั้นที่ทำได้”
คุโรโกะที่กำลังมึนเบอลเอียงคออย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงครับ”
“เพราะฉันสัญญากับคนๆหนึ่งไว้ว่าฉันจะช่วยให้อาคาชิหลุดออกมาจากความแค้น” แนชพึมพำราวกับเอ่ยกับตัวเอง “ฉันแค่คิดน่ะ...ว่าบางครั้งความรักสามารถเปลี่ยนคนได้ ฉันแค่คิดว่าบางทีนายอาจจะเปลี่ยนใจหมอนั่นได้ แต่ฉันไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นฉันจึงคิดว่าบางทีนายอาจเปลี่ยนหมอนั่นได้”
ดวงตาที่ปรือๆกระพริบซ้ำๆเพื่อฝืนตัวเอง แต่ทว่าทันใดนั้นดวงตาของคุโรโกะก็ค่อยๆปิดลง ร่างบางร้องบอกตัวเองในใจว่าจะหลับไม่ได้ เขาอยากคุยกับแนชต่อ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องการรับรู้ แต่ถึงแม้จะคิดแบบนั้น...ร่างกายกลับไม่ยอมฟัง
“ถ้าหากนายฆ่าหมอนั่นได้มันก็เป็นผลดีต่อตัวนาย แต่ถ้านายทำไม่ได้แต่สามารถเปลี่ยนใจหมอนั่นได้มันก็เป็นเรื่องดี” แนชเห็นว่าคุโรโกะกำลังจะเผลอผล็อยหลับ เขาจึงจัดท่านอนให้คุโรโกะใหม่ ก่อนจะยกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างบอบบางไว้อย่างแผ่วเบา แม้เขารู้ว่าคุโรโกะอาจจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพูดต่อไป
“แต่นายไม่จำเป็นต้องไปฆ่าอาคาชิอีกแล้ว ไม่ต้องทำแล้วล่ะ...” แนชบีบมือคนตัวเล็กที่นอนอยู่อย่างอ่อนโยน “เพราะว่าอาคาชิน่ะ...คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว หมอนั่นติดอยู่ในวงเวียนความแค้นจนเราทำอะไรไม่ได้แล้ว...”
คุโรโกะพยายามฝืนลืมตาเพื่อจะได้ฟังในสิ่งที่แนชพูด แต่แล้วในที่สุดคนร่างบางก็ค่อยๆหลับตาโดยที่ไม่ได้ยินประโยคสุดท้าย ไม่ได้ยินในสิ่งที่แนชต้องการจะขอร้อง...
“เท็ตสึยะ...มาอยู่กับฉันเถอะนะ”
แล้วคุโรโกะก็ค่อยๆจมลงสู่นิทรา...
แวมไพร์หนุ่มเหลือบสายตามองคนตัวเล็กที่ผล็อยหลับไปด้วยแววตาเรียบเฉย เขาลูบเรือนผมสีฟ้าครามเล่นไปมาระหว่างทอดสายตามองใบหน้ายามหลับใหลที่น่ารักของเด็กน้อย เห็นเปลือกตาปิดสนิทและขนตาที่งอนยาวเป็นแพ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเผยอออกน้อยๆปล่อยลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าคืนนี้คุโรโกะคงจะนอนหลับสบายไปอีกสักพัก
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบกายพลันเย็นเยียบราวกับตกอยู่ในน้ำแข็ง ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ไอชั่วร้ายวนเวียนรอยตัวก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป แล้วนั่นก็เป็นเวลาที่แนชจะได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาเสียที
ตั้งแต่เจอคุโรโกะเขาต้องอดทนอดกลั้นหลายอย่าง ต้องสะกดสัญชาตญาณแวมไพร์ของตัวเองให้สงบลง หักห้ามใจไม่ให้ตัวเองเผลอเข้าไปกัดคอคุโรโกะ ซึ่งเป็นสิ่งที่แนชคิดว่ามันยากที่สุดในชีวิต กลิ่นกายอันหอมหวานของคุโรโกะแทบจะทำให้เขาเป็นบ้าตาย
กลิ่นอันหอมหวนของเลือดรสหวานๆที่อยู่ภายใต้เนื้อนวลเนียนทำให้แวมไพร์หนุ่มรู้สึกกระหาย แนชไม่สามารถบังคับตัวเองได้ในเสี้ยววินาที เขี้ยวคมสีขาวโผล่พ้นออกมาจากริมฝีปาก โพรงจมูกขยายออกเล็กๆเพื่อสูดกลิ่นความหอมให้ชุ่มฉ่ำใจ ครั้นเงี่ยหูฟังเขาก็ได้ยินเสียงชีพจรเต้นตุบๆอย่างชัดเจน เป็นเวลาอันสั้นแต่ช่างเนิ่นนานนักในความรู้สึกที่เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติโลหิตสดๆแสนโอชาจากร่างกายของคุโรโกะ
และตอนนี้เหยื่อแสนน่ารักกำลังหลับอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไร้การป้องกัน...
‘บางทีแค่สักหน่อยคงจะไม่เป็นไร...’
ชายหนุ่มค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้ซอกคอขาวเนียนหอมกรุ่น ยิ่งได้ใกล้ชิดมากเท่าไรกลิ่นแสนหวานก็ยิ่งลอยมาแตะจมูกเด่นชัด แนชยกยิ้มมีเลศนัยบนมุมปาก เขี้ยวคมเคลื่อนไปแตะลงบนซอกคอหอมหวน หมายจะฝังเขี้ยวชิมโลหิตอันเลิศรสให้สาแก่ใจ
“คุณไม่ควรจะทำแบบนั้นในตอนที่เขาหลับนะครับ”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นทำให้แนชหยุดชะงัก เขี้ยวคมที่กำลังจะฝังลงไปในผิวเนื้อพลันหยุดลง แม้จะไม่แสดงท่าทางออกมาแต่สีหน้ากลับบ่งบอกออกมาชัดเจนว่ารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถูกขัดจังหวะ
แนชค่อยๆถอยใบหน้าออกมาจากซอกคอของคุโรโกะด้วยความเสียดาย นัยน์ตาคมแสนเย็นชาตวัดกลับไปมองแขกไม่ได้รับเชิญที่ยืนอยู่ทางด้านหลังด้วยแววตาไม่ใส่ใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่แววตาอันอ่อนโยนยามมองคุโรโกะพลันแปรเปลี่ยนเป็นแววตาด้านชาไม่ต่างจากคนโหดร้ายไร้หัวใจ
ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะหันกน้ากลับมาหาหาอีกฝ่ายที่ยืนเว้นระยะจากเขาอยู่หลายเมตร
“เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ จงใจงั้นหรอ...”
ชายปริศนาคนนั้นเม้มริมฝีปาก ดวงตาวูบไหวชั่วครู่อย่างลำบากใจ แม้เขาจะเป็นผู้ชายที่มีสีหน้าราบเรียบแต่ทว่าครั้นได้ยินคำพูดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกมีเหงื่อชื้นตามผิวหน้าเล็กน้อย
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่รู้ว่านายท่านกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าผมรู้ผมคงไม่เข้ามา”
“หืม นั่นคือคำโกหกที่ไม่เลวใช้ได้ คราวหน้าต้องขัดเกลาคำพูดให้ดีกว่านี้นะ ช่องโหว่ที่จะจับผิดไม่ได้จะได้มีเยอะขึ้น”
แนชเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้คำพูดจะเรียบเฉยไม่ได้บาดลึกอะไร แต่อีกฝ่ายก็รู้อยู่แก่ใจว่านั่นคือคำประชดประชัน
“ช่างเถอะ” แนชสะบัดมืออย่างไม่ใส่ใจ “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ การได้เจอเท็ตสึยะอีกครั้งน่ะ”
“...”
ชายปริศนาก้มหน้าลง “มันบรรยายไม่ถูกเลยครับ มันทั้งรู้สึกคิดถึงและหลากหลายความหมายจนผมบรรยายออกมาไม่ได้”
“แล้วเท็ตสึยะมีท่าทางยังไงบ้างล่ะตอนที่เขาเห็นนาย”
“...”
ชายหนุ่มนิ่งไปสักพัก
“เขาถามผมว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า...”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแนชก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กๆ
“น่าแปลก ทั้งๆที่ไม่มีความทรงจำแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับนายแบบนี้ ดูท่าจะเป็นผลพวงมาจากความรักที่เขามีต่อนายสินะ แต่ว่าบางทีอาจเพราะเขาไปหาพวกเงือกได้ก็ได้ ความทรงจำจึงอาจจะค่อยๆกลับมาทีล่ะนิด”
“...”
“แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อ”
“เอ๊ะ...” เขาเปล่งเสียงร้องเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงครับ ก็นายท่านเป็นคนสั่งให้ผมไปจับตาดูเขาเอง”
“มันก็ใช่ แต่ที่ฉันถามเพราะฉันต้องการความแน่ใจว่านายคงไม่ทรยศฉันในภายหลัง บางทีการที่นายได้เจอเท็ตสึยะมันอาจทำให้นายคิดอยากปกป้องเด็กคนนั้นจากฉันก็ได้”
“...”
“ยังจำสัญญาของเราได้สินะ มายุสุมิ...”
มายุสุมิมีท่าทางที่ลำบากใจชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะค่อยเอ่ยคำสัญญาว่าระหว่างเขากับแนชออกมา ราวกับเป็นการย้ำเตือนตัวเองว่าควรทำอะไร
“ผมจะให้เขารู้ความจริงไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลาที่แผนการสำเร็จ ความทรงจำของเท็ตสึยะที่ท่านผนึกไว้ในตัวผมจะยังคงไม่เปิดเผยจนกว่าจะถึงวันนั้น”
แนชพยักหน้าอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินคำตอบ “แต่ว่าแผนมันก็เปลี่ยนได้เสมอ ฉันแค่อยากให้นายเก็บความลับเรื่องตัวนายจากเท็ตสึยะให้นานที่สุด เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำยังไงเมื่อได้รับรู้ความจริง...”
“ครับ...”
แนชปรายสายตามองมายุสุมิเล็กๆ ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาสนใจเด็กน้อยต่อ
“ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับนาย นายที่เป็นครึ่งๆกลางๆระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์คงจะปรับตัวยาก และนายเองคงอยากจะกอดเท็ตสึยะในฐานะพี่ชายจนทนแทบไม่ไหว”
“...”
“แต่นายคงรู้นะว่านายทำแบบนั้นไม่ได้....”
มายุสุมิกำหมัดแน่น พลางเม้มริมฝีปาก แม้ในใจจะรู้ดีว่าเขาต้องทำแบบนั้น แต่ถึงกระนั้นในใจลึกๆของเขากลับรู้สึกต่อต้านมันอยู่ข้างใน
แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อตัวคุโรโกะ...
“ผมเข้าใจทุกอย่างครับนายท่าน”
“ถ้างั้นก็ดี” แนชยกยิ้มมีเลศนัยบนมุมปาก “สิ่งที่เราต้องรอตอนนี้มีแค่เวลาเท่านั้น”
“ครับ” มายุสุมิเหลือบตามองออกไปนอกหน้าต่าง คำถามหนึงผุดขึ้นมาในหัวเขา แต่ทว่ามายุสุมิกลับรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรจะพูดมันออกมา แต่แล้ว...
“นายท่านครับ ผมขออนุญาตถามอะไรสักหน่อยได้ไหม...”
“อะไรล่ะ”
“ทำตัวเป็นคนดีแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอครับ”
“...”
มายุสุมิรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองถามไปมันไม่สมควร และมันมีความเสี่ยงสูงมากที่ชายตรงหน้าจะรู่สึกไม่พอใจ แต่ถึงกระนั้นเขายังจะถามออกไปอย่างไม่หวาดกลัว มายุสุมิไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมต้องถามแบบนี้ออกไป
“หมายความว่ายังไง...” เสียงเย็นชาเอ่ยอย่างเยือกเย็น มายุสุมิลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก่อนจะกลั้นใจฝืนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบขัดกับหัวใจที่เต้นตึกตัก
“นายท่านก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรอครับ...”
“...”
“ผมเองก็รู้ว่าท่านไม่ใช่คนดี”
“ต้องการจะพูดอะไร คิดจะกวนประสาทฉันงั้นหรอ...”
“เปล่าครับ” มายุสุมิรีบเอ่ยก่อนแนชจะเข้าใจผิด “ผมแค่อยากจะเตือนคุณว่าสักวันคุโรโกะก็ต้องรู้ความตัวจริงของคุณอยู่ดี คุณไม่ควรให้ความหวังกับเขาแบบนั้น”
“...”
“ถ้าถึงเวลานั้นคุโรโกะคงจะเสียใจมาก”
“ฉันรู้น่ะ” แนชเอ่ยขึ้นเสียงดัง “เรื่องนั้นฉันรู้ดีอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมคุณถึง...”
“งั้นฉันขอถามนายกลับบ้าง นายคิดว่าระหว่างตัวฉันที่เคยเป็นกับตัวฉันที่แสนดี นายคิดว่าเท็ตสึยะจะชอบแบบไหน”
“อึก...”
แม้แต่มายุสุมิก็ไม่สามารถตอบได้ ความจริงเรื่องตัวตนของแนชเป็นสิ่งที่มีคนร่างสูงรู้ดีอยู่แก่ใจ... แวมไพร์หนุ่มไม่ใช่คนดีขนาดนั้น เขาซ่อนนิสัยอันโหดร้ายเลือดเย็นไว้ภายในอย่างแยบยล ความซาดิสต์อย่างน่ากลัวซุกซ่อนอยู่ข้างในรอวันระบายลงบนร่างกายบอบบางให้สาแก่ใจ สิ่งที่คนรักกันไม่ควรทำนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวของผู้ชายคนนี้ เพราะสำหรับแนชแล้ว...สิ่งที่คนรักทำกันแล้วมันรู้สึกเจ็บปวดทรมานคือสิ่งที่แนชจะเลือกทำสิ่งนั้นกับคุโรโกะอย่างไม่ลังเล ไม่รู้ว่าใครจะมองยังไง แต่สำหรับแนชแล้ว...มันคือการแสดงความรัก
สำหรับแวมไพร์ พวกเขาแสดงความรักผ่านทางความรุนแรง...เสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ของบุคคลอันเป็นที่รักจนแทบบ้าคลั่ง คือสิ่งที่น่าอภิรมย์ที่สุดสำหรับเขา
“คำตอบมันเห็นๆกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“...”
“ฉะนั้นฉันจะไหลไปตามความความชอบของเท็ตสึยะก่อน ฉันอยากให้เขามีความสุขให้มากที่สุดก่อนที่เขาจะได้รับรู้ความจริง”
“...”
“เพราะเมื่อถึงเวลานั้น...ไม่ว่าเท็ตสึยะจะเลือกอยู่ฝั่งอาคาชิหรืออยู่ฝั่งฉัน บั้นปลายสุดท้ายที่รออยู่ก็มีแต่นรกที่จะทรมานเด็กคนนี้ให้เจ็บปวดเจียนตาย”
ไม่รู้ว่าภายใต้คำพูดนั้นมีความจริงเจืออยู่มากน้อยแค่ไหน แต่มายุสุมิสัมผัสได้ว่าภายใต้คำพูดนั้นของแนช เจ้าตัวเองก็ไม่ได้อยากจะทำมันออกมาจากใจ แต่เพราะนั่นมันคือทางเลือกสุดท้าย ถ้าหากคุโรโกะรู้ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดเมื่อไร เวลานั้นก็จะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ตัวตนแสนดีของแนชจะหายไปเสียที
และทุกอย่างก็จะเข้าสู่เรื่องราวอย่างที่มันควรจะเป็น...
“หากนายไม่มีเรื่องอะไรจะพูดแล้วก็กลับไปเถอะ ฉันจะพักผ่อน”
ว่าแล้วแวมไพร์หนุ่มก็ค่อยๆ ถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก โชว์แผ่อกแน่นๆกับกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นมัด ครั้นมายุสุมิเห็นว่าคงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เขาจึงโค้งหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเตรียมจะออกจากห้อง แต่แล้วเสียงพูดของแนชกลับทำให้คนร่างสูงต้องหยุดชะงัก
“จะว่าไป มีงานหนึ่งที่อยากให้ไปทำหน่อย”
แนชกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบระหว่างกำลังขึ้นไปนอนบนเตียงคู่กับคุโรโกะ ฝามือหนาลูบเรือนผมสีฟ้าครามเบาๆ ก่อนจะออกแรงจับศีรษะบางให้เอนลงมาหนุนบนต้นแขนของเขา คำพูดและท่าทางที่ดูราวกับมันไม่ใช่งานสลักสำคัญอะไรอดที่จะทำให้มายุสุมิย่นคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้
“มันเป็นงานอะไรงั้นหรือครับ” ร่างสูงเอ่ยถาม
“ก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก” แนชล้มตัวลงนอน ก่อนจะโอบร่างบอบบางเข้ามาซบใบหน้าลงบนแผงอกด้วยแววตารักใคร่
“ไม่ได้สำคัญงั้นหรอ?” ยิ่งฟังมายุสุมิก็ยิ่งงง ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่เข้าใจแต่ก็รอฟังคำสั่งจากผู้เป็นนายเงียบๆ
“ก็ประมาณนั้น จะว่ายังไงดีล่ะ...สำหรับฉันมันเป็นงานที่ง่ายมากก็เลยคิดว่ามันไม่สำคัญอะไรล่ะมั้ง แต่สำหรับนายมันอาจจะเป็นงานสำคัญก็ได้”
ราวกับผู้ชายคนนี้ต้องการกวนให้มายุสุมิประสาทเสียเล่นด้วยการที่ไม่บอกสักทีว่างานที่มอบหมายให้ไปทำคืออะไร แต่ทว่าเพียงไม่นานริมฝีปากหยักก็ค่อยๆเอ่ยชื่อใครคนหนึ่งออกมา
“มายุสุมิ นายรู้จักอาโอมิเนะใช่ไหม”
คนร่างสูงทำท่าคิดชั่วครู่ แม้ไม่เคยเจอแต่เขาก็เคยฟังแนชเล่าเรื่องผู้ชายคนนี้ให้ฟังอยู่บ้าง ได้ข่าวว่าเป็นแวมไพร์จอมก่อปัญหาตัวร้ายไม่ใช่เล่น
“ครับ ไม่เคยเจอ แต่ผมก็จำได้ว่าท่านเคยเล่าให้ฟัง”
“งั้นก็เข้าใจง่ายหน่อย”
ทันใดนั้นแนชก็ยกยิ้มร้ายบนมุมปากอย่างน่าพรั่นพรึง
“ไปฆ่ามันซะ”
คำสั่งอันไม่น่าเชื่อทำให้ดวงตาสีเทาหม่นเบิกโพรงด้วยความตกใจ นี่เป็นงานที่ได้ฆ่าคนงานแรกของเขาก็ว่าได้ ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่มีความเห็นว่าสิ่งที่แนชสั่งให้ทำมันโหดร้ายหรือไม่ มายุสุมิไม่ตอบรับว่าจะทำหรือเปล่า สิ่งที่แสดงบนสีหน้าของเขามีเพียงความตกใจและความไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
“เอ่อ...ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมต้องฆ่าเขา”
“แวมไพร์ที่ไม่เคยฆ่าคนน่ะมันไม่มีจริงหรอก”
“...”
“ถือเป็นงานแรกที่ฉันจะทดสอบความสามารถของนาย ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังว่าฉันจะเมตตา”
มายุสุมิพยักหน้ารับด้วยความจำยอม ไม่อาจปิดบังความลำบากใจที่ปรากฎชัดบนแววตาได้ ตัวเขามีทางเลือกอื่นซะที่ไหนกัน...
“แล้วเหตุผลล่ะครับ”
แนชยกยิ้มบนมุมปาก “เพราะมันบังอาจทำให้ของรักของฉันต้องแปดเปื้อน”
“เอ๊ะ? แปดเปื้อนที่ว่านี่คือ...”
ไม่ต้องรอคำตอบ รอยยิ้มมีเลศนัยบนใบหน้าขาวซีดสื่อความนัยแปลกประหลาด ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มเหลือบมองคนตัวเล็กในอ้อมอกน้อยๆ ประหนึ่งกำลังบอกว่าความหมายของสิ่งที่รักแปดเปื้อนนั้นคืออะไร
มายุสุมินิ่งเกร็งไปทั้งร่าง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ท่านกำลังจะบอกว่า...”
“ใช่... อย่างที่นายคิดนั่นแหละ”
คำตอบของแนชเหมือนทำให้สติของมายุสุมิค่อยๆแตกสลาย ท่าทางที่ไม่แยแสของแนชอดที่จะทำให้คนร่างสูงแอบคิดในใจไม่ได้ว่า...มีแค่เขาคนเดียวหรือที่รู้สึกโกรธจนอยากฆ่าคนมากขนาดนี้
แนชไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยงั้นหรอ...
“นายกำลังคิดในใจว่าฉันไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยใช่ไหม?”
“เอ๊ะ?!”
เมื่อถูกอ่านใจ มายุสุมิก็สะดุ้งเฮือกใหญ่ แนชส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เดายากอะไรเลยแม้แต่น้อย
“แน่นอนว่าฉันโกรธ แล้วก็โกรธมากเลยด้วย...” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเยือกเย็น
หากดูจากสีหน้าที่ยังคงยกยิ้มเย้ยหยัน แนชอาจดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่หากเลื่อนสายตาขึ้นไปมองบนดวงตาสีฟ้าเข้ม เขาก็ต้องพบว่ามันกำลังเปล่งประกายแสงแห่งความโทสะอย่างที่มายุสุมิไม่เคยเห็นมันมาก่อน มันถึงทำให้คนร่างสูงมั่นใจว่าแนชกำลังรู้สึกโมโหมากแค่ไหนในตอนนี้
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการที่จะเก็บความโกรธไว้ในใจแล้วแกล้งทำตัวเป็นปกติ...
“แล้วทำไมถึง...”
“นายอย่าลืมสิ ตอนนี้ฉันกำลังเล่นบทเป็นคนแสนดีอยู่ ฉันคงทิ้งเด็กน้อยไปทำงานไร้สาระนั่นไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า...” มายุสุมิมองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ “ท่านจะไม่รู้สึกอะไรแน่นะครับ”
“...”
“ยังไงอาโอมิเนะก็คือคนที่อย่างน้อยท่านเคยดูแลเขามาตั้งแต่ยังเด็ก”
“...”
“ท่านแน่ใจหรอครับที่จะให้ผมไปฆ่าเขา”
“หึ ฉันไม่สนใจหรอก”
“เอ๊ะ”
เสียงหัวเราะแบบประชดประชันลอดออกมาจากริมฝีปากบาง แนชปรายสายตามองมายุสุมิด้วยสายตาดูถูกดูแคลน ประหนึ่งสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาช่างเป็นเรื่องโง่เขลาและน่าตลกสิ้นดี
“นายอย่ามาพูดให้ฉันขำน่ะ”
ปลายนิ้วแข็งแรงไล้พวงแก้มขาวเนียนอย่างรักใคร่ ทำไมเขาจะต้องไปใส่ใจอาโอมิเนะ ในเมื่อสิ่งสำคัญอันแสนมีค่ากำลังหลับอยู่ในอ้อมอกของเขา
“ก็แค่เด็กที่ฉันเคยเลี้ยงดูกับคนที่ฉันรัก อย่างไหนมีค่ามากกว่ากันนายก็น่าจะรู้นี่”
“...”
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปซะ”
ประโยคสั้นๆตอบทุกข้อสงสัยในใจของมายุสุมิได้หมดทุกอย่าง แม้ไม่ต้องตอบแต่ต่างคนต่างรู้คำตอบอยู่แก่ใจ มายุสุมิคลี่ยิ้มเล็กๆอย่างเบาใจโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะยิ้มทำไมในสถานการณ์แบบนี้ ชายหนุ่มไม่ถามอะไรต่อเพราะเขาเข้าใจซึ่งทุกสิ่ง เข้าใจถึงเป้าหมายที่แนชต้องการและสิ่งที่แนชให้ความสำคัญมาเป็นอันดับแรก...
มายุสุมิโค้งหัวลงเล็กๆ ก่อนที่เขาจะค่อยๆถอยหลังแล้วกลืนหายไปกับความมืดมิด
แวมไพร์หนุ่มคลี่ยิ้มบางครั้นร่างของมายุสุมิเลือนหายไป ชายหนุ่มกลับมาให้ความสนใจแก่คนร่างบางต่อ เด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลกหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ใบหน้าน่ารักดุจสาวบริสุทธิ์หลับใหลอย่างสงบ ฤทธิ์แอลกฮอล์ทำให้คนร่างบางหลับลึกเพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่ ดวงตาคมสีฟ้าเข็มมองดูริมฝีปากอวบอิ่มที่เผยอเข้าเผยอออกอย่างเอ็นดู ยิ่งไล่สายตามองสำรวจใบหน้าหวานมากเท่าใดแนชก็ยิ่งรู้สึกถึงความใสซื่ออ่อนต่อโลกอย่างของคุโรโกะ เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองนั้นเหมาะเป็นเหยื่อของสิ่งโสมมบนโลกนี้มากเพียงใด สมัยนี้น่ะไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงมันก็เสี่ยงอันตรายในเรื่องกามๆไม่ต่างกันหรอก
“เท็ตสึยะ เด็กน้อยที่น่ารักของฉัน”
เสียงทุ้มมีเสน่ห์เอื่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา ปลายจมูกโด่งซุกลงบนเรือนผมสีฟ้าคราม สูดกลิ่นความหอมบริสุทธิ์อ่อนจากคนตัวเล็ก
“หลับซะนะเด็กดี จมอยู่ในความฝันนานๆ ฝในความฝันนายจะเป็นอะไรก็ได้ นายจะทำได้ทุกอย่างตามที่ใจนายต้องการ”
แนชยกยิ้มเล็กๆบนมุมปาก
“ความจริงที่โหดร้ายมันรอนายอยู่ ฉะนั้นจงหลับฝันหวานในตอนที่ยังทำได้ซะเถอะ”
______________________________________________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น