ในเวลากลางดึกอันเงียบสงัด ดูเหมือนว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่ดวงจันทร์ส่องแสงสว่างเป็นประกายกว่าทุกวัน แสงจันทราตกกระทบกับหมู่ดาวเกิดเป็นแสงระยิบระยับบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
แวมไพร์หนุ่มทอดสายตามองท้องฟ้าด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนที่เด็กน้อยในอ้อมอกจะดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอด เรียกความสนใจให้เหลือบตามองอย่างเอ็นดู ดวงตากลมโตที่ปิดสนิทกับพวงแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อช่างน่ารักน่าชัง แนชแตะปลายนิ้วลงริมฝีปากอวบอิ่มอย่างอ่อนโยน พยายามที่จะไม่กอดคุโรโกะแรงเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่น
ระหว่างทางพากลับคุโรโกะคงจะเพลีย คนตัวเล็กจึงเผลอผล็อยหลับไปตั้งแต่กลางทาง แต่แนชก็ไม่ได้คิดจะปลุก ทางที่ดีปล่อยให้คนตัวเล็กนอนแบบนี้ไปอีกสักพักจะดีกว่า
แม้ว่าใจจริงอยากให้คุโรโกะมาอยู่ด้วยกัน แต่ก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่คุโรโกะตอบตกลงเร็วขนาดนี้
ถึงจะไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้แย่นัก…
…
…
...
ผ่านไปหลายชั่วโมงในที่สุดแนชก็พาคุโรโกะมาถึงยังที่หมาย คนร่างสูงเตรียมห้องของคุโรโกะไว้รอต้อนรับแล้วเรียบร้อย เขาจัดเตรียมห้องให้เป็นแบบที่คุโรโกะชอบ ตกแต่งห้องสไตล์ธรรมดาแต่ก็อยู่สบายสำหรับคนปกติทั่วไป เพราะเขาคิดว่าถ้าจัดตกแต่งแบบนี้คุโรโกะน่าจะสบายใจมากกว่า ชั้นหนังสือมากมายเรียงรายรอบห้องกับโต๊ะอ่านหนังสือหนึ่งตัว ซึ่งเขาได้รวบรวมหนังสือหลากหลายประเภทมาเก็บไว้เพื่อคุโรโกะโดยเฉพาะ อย่างน้อยคนตัวเล็กจะได้ไม่รู้สึกเบื่อระหว่างอาศัยอยู่ที่นี่
แนชวางเด็กน้อยในอ้อมอกลงบนเตียง ตั้งใจว่าจะปล่อยให้คืนนี้คุโรโกะพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่คงเพราะแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงอันนุ่มนิ่มมันจึงทำให้คนร่างบางค่อยๆ ลืมตาตื่น
“อืม…”
เสียงครางตามประสาคนเพิ่งตื่นดังแผ่วเบา คุโรโกะยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างง่วนงุนก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“ขอโทษนะ ทำให้ตื่นหรอ” ปลายจมูกโด่งหอมเรือนผมสีฟ้าคราม นิ้วเรียวไล้ผิวแก้มขาวไปมาอย่างอ่อนโยน
“เปล่าครับ” คุโรโกะยิ้มเจื่อนขณะกวาดสายตาสำรวจรอบห้อง “ที่นี่ที่ไหนครับ?”
“คฤหาสน์ของฉันเอง”
คุโรโกะทำสีหน้าลำบากใจครั้นได้ยินคำตอบ จะว่าตอบตรงคำถามหรือตอบไม่ตรงคำถามดี...
“แล้วมันที่ไหนล่ะครับ..”
“อยู่ในญี่ปุ่นนี่แหละ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้วางแผนจะพานายออกนอกประเทศเร็วๆ นี้หรอก” อีกฝ่ายลูบหัวคุโรโกะ ไม่รู้ทำไม...ทั้งที่ชายหนุ่มก็พูดเหมือนปกติทุกที แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ ราวกับว่าแนชจงใจไม่บอกว่าที่นี่คือที่ไหนในญี่ปุ่น
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่กำลังก่อกวนอยู่ในใจนี่มันคืออะไรกันแน่นะ…
“ดึกมากแล้ว เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้ เท็ตสึยะรออยู่ที่นี่ก่อนนะ”
“ครับ”
แวมไพร์หนุ่มผุดยิ้มพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ เขาจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนด้วยสัมผัสแผ่วเบา จุมพิตแสนหวานร้อนผ่าวทำให้แก้มขาวพลันเปลี่ยนสี เสียงกระซิบอ่อนโยนลอดผ่านริมฝีปากอย่างเชื่องช้าด้วยโทนเสียงชวนหลงใหล
“เด็กดี…”
คำชมเชยนั้นทำให้หัวใจของคุโรโกะเต้นรัว แนชหอมแก้มคุโรโกะหนึ่งครั้งก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เด็กน้อยรู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดทิ้งท้ายเมื่อครู่
คุโรโกะยกมือขึ้นมาสัมผัสบนหน้าอกข้างซ้าย จังหวะหัวใจอันไม่สม่ำเสมอตอกย้ำถึงความในใจที่แท้จริง เมื่อก่อนเขาเคยรู้สึกแย่ที่ใครต่อใครต่างก็พากันทำเหมือนว่าเขาเป็นเด็ก แต่ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกมีความสุขที่ได้ยินถ้อยคำนั้นจากปากของแนช เสียงอันอ่อนโยนที่เอ่ยให้เขารับรู้จากใจจริง รอยยิ้มพิมพ์ใจยามเอ่ยถ้อยคำนั้นราวกับดอกไม้แสนหวานที่ล่อลวงให้เขาบินเข้าหาด้วยความลุ่มหลง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาหลงไปในวังวนของแวมไพร์ตนนี้จนถอนตัวเองออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นกับดักแต่ก็ยังดื้อรั้นที่จะเดินเข้าไป รู้สึกตัวอีกทีก็ไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้อีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดจะหนี… ในเมื่อหลงกลเข้ามาจนไม่มีทางให้หนีได้แล้ว งั้นก็มีแต่ต้องทำใจยอมรับในชะตากรรมที่จะเกิดต่อจากนี้ ไม่ว่ามันจะสุขหรือเลวร้ายเพียงใดก็ตาม นั่นแหละคือสิ่งที่คุโรโกะตัดสินใจเลือก ไม่ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นยังไง เขาก็ไม่มีสิทธิ์ร้องขอชีวิตอะไรทั้งสิ้น
เพราะว่าเขาเป็นคนตัดสินใจเลือกแบบนี้เอง…
คุโรโกะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมอกด้วยความเจ็บปวด ทั้งที่คอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่าจะไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่อีกหัวใจที่หลับใหลอยู่ข้างในกลับคอยด่าทอเขาอยู่ตลอดเวลา มันตะโกนต่อว่าเขาอยู่ข้างในว่าเขาช่างเป็นคนที่โง่มาก เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวจนไม่สนใจใครอื่นหรือแม้แต่ภัยที่จะมาถึงตัว ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองคืออะไรยังไม่รู้แล้วจะไปทำอะไรได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรอก คำเหล่านี้ดังสะท้อนไปมาจนคุโรโกะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ไม่ว่าจะพยายามคิดในแง่ดีเท่าไรก็มีแต่จะยิ่งเจ็บไปกว่าเดิม
แบบนี้มันดีแล้วแน่หรอ…
อีกใจคุโรโกะเถียงตัวเองแบบนั้น ความสองจิตสองใจก่อกวนอยู่ข้างในจนไม่รู้ว่าควรจะเอนเอียงไปทางไหน แต่เพราะรู้ว่าเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว จึงทำได้แค่เพียงก้มหน้าแล้วยอมรับกับทุกสิ่งที่จะเกิด แต่ลึกๆ ในใจคุโรโกะรู้ดีว่าทั้งหมดนั่นก็แค่คิดหลอกตัวเอง
ทุกอย่างมันจะต้องไม่เป็นไร… ความรู้สึกอันแท้จริงของคุโรโกะแอบภาวนาไว้แบบนั้น
“เท็ตสึยะ”
เสียงของแนชทำให้คุโรโกะสะดุ้งเฮือกใหญ่ คนร่างบางรีบปั้นหน้ายิ้มแล้วหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางที่ปรับเป็นปกติ
“อะ...อะไรหรอครับ?”
“น้ำอุ่นพร้อมแล้วนะ”
“ขะ...เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นผมขอตัว”
คุโรโกะกำลังจะเดินไปอาบน้ำตามที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ทว่ากลับโดนฝ่ามือแข็งแรงจับข้อมือไว้ คนตัวเล็กผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนจะเบนสายตากลับมามองคนร่างสูงด้วยแววตาสงสัย ดงตากลมโตกระพริบปริบๆ อย่างเป็นคำถาม
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
แวมไพร์หนุ่มเพียงแค่ยิ้มบางเป็นคำตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปลดกระดุมคุโรโกะอย่างบรรจงทีละเม็ด ร่างบางสะดุ้งเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ เขารีบยกมือขึ้นมาจับฝ่ามืออีกฝ่ายไว้เบาๆ เป็นเชิงบอกให้หยุด
“คุณแนชครับ ผะ…ผมทำเองได้”
คุโรโกะบอกคนร่างสูงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามใช้แรงที่มีอยู่น้อยนิดผลักออกแต่ก็ไม่เป็นผล ซึ่งคุโรโกะไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยสู้แรงแวมไพร์ตนนี้ได้อยู่แล้ว
“ฉันถอดให้เร็วกว่า” แนชตอบสั้นๆ ก่อนจะถอดเสื้อผ้าคุโรโกะออกอย่างชำนาญ ทั้งเสื้อติดกระดุมหรือแม้แต่เข็มขัดก่อนถอดกางเกง ฝ่ามือหนาใหญ่ไล้สัมผัสทุกส่วนอย่างแผ่วเบา จงใจให้เนื้อผ้าลากผ่านผิวกายอย่างเชื่องช้าเพื่อจะได้มองดูผิวขาวนุ่มด้วยนัยน์ตาตัวเองอย่างใกล้ชิด คุโรโกะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสายตานั้น จึงทำได้แค่เพียงเบือนหน้าหนีและภาวนาให้แนชรีบถอดให้มันเสร็จๆ ไป
เสื้อเชิ้ตสีเรียบลงไปกองที่พื้นอย่างบรรจง ริมฝีปากสีกุหลาบยิ้มมีเลศนัยครั้นผิวขาวผ่องออกมาปรากฎแก่สายตา แนชแตะปลายนิ้วลงบนเรียวแขนอันบอบบางทั้งสอง นัยน์ตาคมดุจนักล่าไล่สายตามองทั่วเรือนร่างด้วยความหลงใหล ไล่สายตาเรื่อยมาหยุดอยู่ที่ลำคอขาวผ่องอันน่าฝังเขี้ยวลงไปให้สาแก่ใจ ได้ยินเสียงชีพจรดังตุบๆ กระตุ้นสัญชาตญาณให้ตื่นตัว รอยเขี้ยวแผลเป็นอันถูกทาบทับด้วยรอยสักนั้นช่างงดงามจนไม่อาจละสายตาได้
คุโรโกะทำตัวไม่ถูกครั้นถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนั้น ความหวั่นไหวบางอย่างทำให้หัวใจเต้นตึกตัก ความกระอักกระอ่วนใจผสมปนเปกับความเขินอาย คุโรโกะช้อนตามองคนร่างสูงน้อยๆ แต่เมื่อได้สบตากันในระยะประชิดใบหน้าก็พลันร้อนผ่าวจนพูดอะไรไม่ออก
คุโรโกะก้มหน้ามองลงพื้น พอไม่ได้เห็นหน้าแนชแล้วจึงทำให้ความตื่นเต้นลดน้อยลง
“พอเถอะครับ ที่เหลือผมทำเองได้”
“มาพูดอะไรตอนใกล้จะถอดเสร็จแล้ว” แนชเชยปลายคางคุโรโกะขึ้น บังคับให้สบตาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง คุโรโกะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าเข้มด้วยความหวั่นไหว
ไม่ชอบเลยแฮะ… รอยยิ้มขี้โกงแบบนี้
“ถ้างั้นช่วยอย่ามองผมตาค้างหลังจากถอดแต่ละชิ้นออกได้ไหมล่ะครับ”
“ก็หุ่นของเท็ตสึยะมันเร้าใจดีนี่นา จะไม่ให้เผลอมองได้ยังไงกัน”
“ถ้าไม่รีบล่ะก็น้ำจะหายอุ่นนะครับ”
“รู้แล้วๆ ถ้างั้นจะช่วยเร่งมือให้ล่ะกัน”
เพียงไม่นานร่างเล็กก็ปราศจากอาภรณ์ปกปิด แนชหยิบผ้าขนหนูมาคลุมไหล่คุโรโกะ มือหนาอีกข้างรวบเอวบางเข้าหาตัว คุโรโกะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาคนร่างสูง ทำได้แค่เพียงเหลือบสายตามองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
คนร่างสูงพาเด็กน้อยเข้าไปยังห้องอาบน้ำ แน่นอนว่าคงไม่ยอมปล่อยให้คุโรโกะอาบคนเดียว ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อระอุอุ่นปราฏแก่สายตา เรือนร่างอันแข็งแกร่งพร้อมรอยสักตามเรียวแขนทำให้รู้สึกถึงความดุดัน เป็นอีกครั้งที่คุโรโกะเผลอจ้องมองแผ่นอกตึงแน่นด้วยความหลงใหลโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อตั้งสติได้ก็รีบหลบสายตาหนีไปทางอื่นด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
แนชจัดการอาบน้ำให้คุโรโกะราวกับเป็นเด็กน้อย คุโรโกะเพียงแค่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เสียงน้ำจากฝักบัวตกกระทบกับพื้นทำให้อารมณ์สงบกว่าที่เคย เขาหลับตารับสัมผัสจากปลายนิ้วที่ลูบเส้นผมเปียกชื้นของเขาอย่างนุ่มนวล รับสายน้ำเย็นที่ไหลรินตามผิวกายอย่างเชื่องช้า ฟองสบู่สีขาวนวลกลิ่นหอมละมุนแต่งแต้มตามเรือนร่างก่อนจะถูกน้ำเย็นชำระล้างออกไปอย่างหมดจด เมื่อลืมตาก็พลันถูกสั่งให้อ้าปากออก เขาไม่พูดอะไรแต่ยอมปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย มือหนาจับปลายคางยกขึ้นอย่างนุ่มนวลขณะที่อีกมือค่อยๆ แปรงฟันให้เขาอย่างทะนุถนอม เสียงกระซิบบอกให้อมน้ำล้างปากดังแผ่วเบาที่ข้างใบหู เมื่อทำทุกอย่างตามที่บอกอย่างเชื่อฟัง สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มและสายตาเอ็นดูที่มองเขาอย่างพึงพอใจ ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มหูจะเอ่ยชมกระซิบเบาๆ ว่าเด็กดี…
คนตัวเล็กแอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ คุโรโกะรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกปฏิบัติเหมือนเด็ก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาคิดแบบนี้ แต่เขารู้สึกเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้อยู่กับแนช แวมไพร์หนุ่มตนนี้ต่างจากอาคาชิโดยสิ้นเชิง แนชมักจะชอบดูแลเขามากเกินไปจนเขารู้สึกอึดอัด บางครั้งก็ทำเหมือนว่ากำลังดูแลเด็กที่แม้แต่เดินเองยังทำไม่ได้ ต้องคอยประคบประหงมช่วยเหลือทุกเรื่องไม่เว้น ทำราวกับว่าเขาเป็นเด็กไม่ประสีประสาที่พร้อมจะเจ็บตัวได้ทุกเมื่อหากไม่มีคนคอยดูแล แน่นอนว่าคุโรโกะรู้สึกแอบดีใจที่มีคนคอยตามเอาใจใส่ แต่ว่าอะไรที่มันมากเกินไปบางครั้งมันก็ไม่ค่อยดี
แต่ว่าเพราะการกระทำแบบนั้นมันจึงทำให้เขารู้สึกไปเองโดยธรรมชาติว่าไม่ควรขัดขืน เด็กดีที่แนชต้องการคือจะต้องทำตัวน่ารักและเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีใครรักอีกต่อไป...
คุโรโกะหลับตาฟังเสียงน้ำหยดกระทบลงบนพื้นกระเบื้อง ร่างกายที่ขยับไหวน้อยๆ ทำให้น้ำในอ่างกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น แผ่นหลังบางเอนพิงแผ่นอกตึงแน่นราวกับจะปล่อยกายปล่อยใจให้ดื่มด่ำกับความอบอุ่นนี้ให้เต็มที่
“ตั้งแต่วันนี้ไปชีวิตนายจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ”
เสียงกระซิบของแวมไพร์หนุ่มทำให้เขาค่อยๆ ลืมตา
“ผมทราบดีครับ...”
“ไม่ต้องทำเสียงซึมไปหรอก นายเลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว” สองแขนโอบร่างบางเข้าหาตัว รู้ดีว่าตอนนี้คุโรโกะกำลังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ตัวเองเลือก คุโรโกะยิ้มเจื่อนพลางแตะปลายนิ้วลงบนเรียวแขนอีกฝ่ายเบาๆ
“แต่ว่าสัญญาต้องเป็นสัญญานะครับ”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเรือนผมสีทองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ร่างกายที่แนบชิดทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน ดวงตาสีฟ้าครามสั่นไหวครั้นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแวมไพร์หนุ่ม มันดูเย็นเยียบและดุดันกว่าที่เคย ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตอนนี้แนชกำลังคิดอะไรอยู่
“นายกลัวว่าฉันจะไม่รักษาสัญญางั้นหรอ?”
แนชก้มหน้าลงมองคนตัวเล็กพลางยิ้มมุมปาก คำพูดทีเล่นทีจริงนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นไหว
“ถ้าผมบอกว่าผมกลัวล่ะครับ”
คุโรโกะกลั้นใจเอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจากใจจริง มือที่กำลังสั่นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ แนชมองดูคนตัวเล็กด้วยสายตาคมกริบก่อนที่เขาจะเชยปลายคางคุโรโกะขึ้น นัยน์ตาคมจ้องลึกเข้าไปข้างในดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ รอยยิ้มอันไม่น่าไว้ใจประดับบนใบหน้าขาวซีด
“แล้วถ้าเกิดว่าฉันไม่รักษาสัญญาล่ะ นายจะทำยังไง”
หลังจบประโยคนั้นบรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบ คุโรโกะสบสายตาอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ คำพูดที่เหมือนจะล้อเล่นแต่ก็เหมือนจะจริงจังนั้นทำให้คุโรโกะขำไม่ออก รอยยิ้มอันเหมือนปกติทุกทีช่างดูน่าหวาดหวั่นจนทั่วทั้งร่างแข็งทื่อด้วยความกลัว
คนตัวเล็กไม่พูดอะไรอยู่นานกลายวินาที ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดริมฝีปาก ไม่กล้าแม้แต่จะหลบสายตา กกลัวว่าถ้าหากตอบคำถามนี้ออกไปแล้วเขาคงไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก ไม่สามารถย้อนไปตอบปฏิเสธได้อีกแล้ว…
ติ๋ง...
กระทั่งเสียงหยดน้ำดังขึ้นแนชก็คลี่ยิ้มซุกซนออกมา เขาแอบหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนจะปล่อยคนตัวเล็กให้เป็นอิสระ
“ล้อเล่นน่ะ”
แวมไพร์หนุ่มกระซิบเสียงกระเส่าหลังกกหู คุโรโกะกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัดที่วิ่งวนอยู่ในใจ ความหวาดกลัวแตกสลายไปราวกับสายน้ำที่ล้นออกจากอ่าง คุโรโกะช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างโกรธๆ พลางออกแรงทุบอกอีกฝ่ายเบาๆ อย่างคาดโทษ รู้สึกไม่ขำด้วยเลยแม้แต่น้อยกับเรื่องตลกเมื่อสักครู่
“อย่าทำให้ผมตกใจสิครับ”
“ก็แค่อยากลองใจน่ะ”
“ลองใจเรื่องอะไรครับ”
“ก็…”
คนร่างสูงก้มหน้าลงมาด้วยรอยยิ้มบนมุมปาก เรือนผมสีทองเปียกชื้นขับให้ใบหน้าคมมีเสน่ห์สั่นคลอนหัวใจ ริมฝีปากหยักสีกุหลาบค่อยๆ คลอเคลียบนริมฝีปากอวบอิ่มอย่างนุ่มนวล คนตัวเล็กจึงหลับตาลงเพื่อรัมสัมผัสจากริมฝีปากร้อนจัด ความหวานปนรสขมปร่าแทรกเข้ามาในความรู้สึก ปลายลิ้นเกี่ยวหยอกล้อกันสลับกับเสียงแลกลมหายใจอันหนักหน่วง ความเร่าร้อนจากปลายลิ้นทำให้คนร่างบางหายใจหอบ ปลายนิ้วเรียวนวดเฟ้นไปตามเรียวขากระตุ้นให้เกิดอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาน้อยๆ
และเมื่อริมฝีปากสีกุหลายผละออกไปคุโรโกะจึงได้มีเวลาพักหายใจ แนชลูบใบหน้าคุโรโกะด้วยความรักใคร่ ใช้ปลายนิ้วปัดเส้นผมเปียกชื้นทัดใบหูเบาๆ
“ที่ลองใจเมื่อกี้ก็เหมือนเป็นการให้โอกาส ขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบว่านายจะไม่เปลี่ยนใจทีหลัง”
“ทำไมถึงได้ทดสอบอะไรแบบนั้นล่ะครับ....”
“ฉันก็แค่อยากทำให้แน่ใจว่านายจะไม่หนีฉันไป” แนชผุดยิ้ม “ถ้าสมมุติว่าฉันให้โอกาสนายอีกรอบ นายยังคิดที่จะเปลี่ยนใจอยู่หรือเปล่า”
ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นการลองใจอีกหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นคุโรโกะก็ไม่ได้คิดติดใจ แม้จะมีเพียงเสี้ยววิที่คนตัวเล็กชะงักไป แต่สุดท้ายคนร่างบางก็ตอบออกไปตามตรงด้วยแววตาเรียบเฉย
“ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกครับ…”
คำตอบนั้นทำให้แนชคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“เด็กดี”
ริมฝีปากหยักได้รูปประทับจุมพิตลงบนหน้าผากมนอันเปียกชื้น คุโรโกะเหม่อสายตามองน้ำในอ่างที่ยังคงกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ภาพที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำคือใบหน้าของเขาที่กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ เป็นอีกครั้งที่คำว่าเด็กดีเคลื่อนมากระเส่าหัวใจให้เต้นผิดจังหวะด้วยความหวั่นไหว
“ถ้าไม่ใช่เพื่อพี่ชาย นายคงจะไม่ยอมตกลงกับฉันง่ายๆสินะ”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ”
“แต่ฉันดีใจจริงๆ นะ” ฝ่ามือหนาสอดประสานกับนิ้วมือเรียวบางที่อยู่ใต้น้ำ เสียงนุ่มเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาราวกับสื่อความรู้สึกออกมาจากใจ “ต่อจากนี้ไปฉันจะได้อาศัยอยู่กับคนที่ฉันรักสักที ไม่ต้องมีใครมากวนใจ เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป แถมเท็ตสึยะก็ได้อยู่กับพี่ชายด้วย ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็มีแต่เรื่องดีไม่ใช่หรอ”
“...”
ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็มีแต่เรื่องดี ใช่...ถ้าลองเปรียบเทียบกันดูมันก็น่าจะเป็นแบบนั้น
แต่ไม่รู้ทำไมคุโรโกะถึงสลัดความกังวลใจนี้ออกไปไม่ได้สักที…
“เป็นอะไรไปเท็ตสึยะ ทำหน้าซึมเชียว น้ำหายอุ่นแล้วก็เลยไม่ชอบหรอ?”
แนชถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสีหน้าอันตึงเครียดของคุโรโกะ คนตัวเล็กสะดุ้งออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ
“เปล่าครับ” คุโรโกะยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “คุณแนชจะให้ผมเจอพี่เมื่อไรครับ”
“พรุ่งนี้”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นน้อยกับคำตอบอันรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด
“เร็วขนาดนั้นเลยหรอครับ”
แม้จะถามด้วยความแปลกใจ แต่ทว่าดวงตากลับซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่มิด แนชมองดวงตาพราวระยับนั้นด้วยรอยยิ้มขบขัน มันเปล่งประกายเต็มไปด้วยความปลื้มปีติอันเอ่อล้น ความหวังที่รอคอยมานานกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า ไม่แปลกใจที่คุโรโกะจะดีใจมากขนาดนี้ เขาพยักหน้ารับเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองพูดเป็นความจริง ยิ่งทำให้คนตัวเล็กยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม
“ดีใจจัง” คุโรโกะพึมพำสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มอันแสนน่ารักน่าชัง เมื่อได้เห็นคุโรโกะมีความสุขแนชก็มีความสุข แต่ทว่าประโยคถัดมาของอีกฝ่ายกลับทำให้ชายหนุ่มต้องหุบยิ้มลงโดยพลัน
“ผมยังไม่ได้ลาพวกอาคาชิคุงเลย”
ในตอนนั้นคุโรโกะรู้สึกว่าสายตาของแนชเย็นเยียบกว่าที่เคย
“คุณแนช?”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบราวกับติดอยู่ในความคิดของตัวเอง นัยน์ตาดุดันช่างลึกล้ำราวกับรัตติกาล ทว่าเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็คลี่ยิ้มแล้วกระชับฝ่ามือของเขาที่กำลังสอดประสานกันแนบแน่นขึ้น
“เรื่องนั้นฉันจัดการให้แล้ว”
คุโรโกะเอียงคอด้วยความสงสัย
“จัดการยังไงครับ”
“นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันรู้จักกับเจ้าพวกนั้น ฉันส่งจดหมายไปบอกพวกเขาแล้ว แน่นอนว่าทางนั้นเองก็เข้าใจและยอมรับ ดังนั้นเท็ตสึยะไม่ต้องกังวลหรอก”
รอยยิ้มของแนชไม่อาจช่วยให้เขาคลายกังวลได้อย่างที่พูด เขาหลุบตาต่ำด้วยความเศร้าอย่างน่าแปลกพิกล คำว่าเข้าใจและยอมรับของทางฝ่ายนั้นทำให้คุโรโกะรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก ไม่เข้าใจว่าอาการอึดอัดอันไร้ที่มานี้มีสาเหตุมาจากอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกน้อยใจจนขอบตาร้อนผ่าว ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังคาดหวังอะไรอยู่กันแน่
คุโรโกะยิ้มให้ตัวเองอย่างแผ่วล้า หยดน้ำเปียกชื้นจากเส้นผมไหลรินผ่านใบหน้าไปจรดที่ปลายคางก่อนจะหยดลงน้ำอย่างเงียบงัน เขากระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำอันน่าสมเพชบนขอบตาออก ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาเจ็บปวดกับความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้แบบนี้ด้วย ทางนั้นก็แค่ไม่ได้เป็นห่วงเขาเลยเท่านั้นเอง ฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะพากันยอมรับและเข้าใจโดยไม่นึกสงสัยอะไรเลย
ก็แค่ไม่ได้เป็นห่วงเท่านั้นเอง
นั่นสินะ… เขาควรจะรู้ตัวเองตั้งนานแล้ว ทำไมถึงได้ไม่จำสักทีนะตัวเรา...
เขานี่มันช่างโง่จริงๆ เลือกแบบนี้เองแล้วยังหวังอะไรอยู่กันแน่น่ะ
ไม่เข้าใจตัวเองเลย…
“อยากกลับไปหาหมอนั่นหรอ”
คำถามจี้ตรงจุดทำให้ไหล่บางกระตุกเกร็ง คุโรโกะรีบเงยหน้าขึ้นมองแนชด้วยแววตาสั่นไหว รอยยิ้มเย็นเยียบช่างขัดกับน้ำเสียงอันเรียบเฉยเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าครับ” คุโรโกะปฏิเสธเบาๆ
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว” ริมฝีปากหยักได้รูปกดจูบตรงขมับ เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาเล็กน้อย “ถึงนายกลับไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง คุโรโกะยิ้มบางเป็นคำตอบ ไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา มือบอบบางทาบบนใบหน้าหล่อจัดด้วยสัมผัสแผ่วเบา เขาจับจ้องบนใบหน้าดุคมที่แฝงไปด้วยความอันตราย ท่าทางของแนชบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เขากลับไป
คุโรโกะพิงหลังลงบนแผ่นอกระอุอุ่นอีกครั้ง ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวทำลายบรรยากาศอันขุ่นมัว ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เสียงน้ำไหลขับกล่อมพวกเขาไปสู่อารมณ์ปกติดั่งเดิม
“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?” แนชเอ่ยถามเสียงนุ่มทุ้มหู ปลายจมูกซุกซนไซ้ไปมาบนซอกคอ ปลายนิ้วเกาะเกี่ยวกันไว้ด้วยความปรารถนาบางอย่าง คุโรโกะไม่ตอบคำถาม เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบเท่านั้น
ตามปกติแล้วคุโรโกะก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นบทสนทนายังไง แต่เมื่อถูกความเงียบโอบล้อมเป็นเวลานานคำถามบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว
“คุณแนชเคยทำแบบนี้กับใครมาก่อนหรือเปล่าครับ”
“หืม…?” คำถามนั้นทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามแบบนี้”
“แค่อยากรู้น่ะครับ” คุโรโกะหลบสายตาอีกฝ่ายที่จ้องมองเขาผ่านทางผิวน้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจบังคับสายตาตัวเองหนีจากแววตาดุดันนั้นได้
“ไม่ได้หรอครับ”
เสียงหวานเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางช้อนตาขึ้นมองแวมไพร์หนุ่ม และเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจเขาถึงได้รู้ว่าต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่หลังคำตอบนั้น แนชยิ้มบางคล้ายอ่อนใจ เหมือนไม่อยากตอบแต่สุดท้ายก็ต้องตอบ
คุโรโกะแทบจะกลั้นใจรอคอยคำตอบ รู้สึกเหมือนลมหายใจขาดห้วงไประยะหนึ่ง แวบหนึ่งเขาเห็นความลังเลปรากฏบนแววตาวสีฟ้าเข้ม แนชจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบเฉยเป็นเวลาหลายวินาที แต่ไม่รู้ทำไมคุโรโกะถึงได้รู้สึกว่าบนแววตานั้นมันมีบางอย่างแปลกไป
แนชกำลังจ้องมองมาที่เขา แต่เขากลับรู้สึกว่าแนชกำลังมองคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขา…
บนแววตาสีฟ้าเข้มอันลึกล้ำไม่ได้สะท้อนภาพของเขาเลย…
“แค่กับนายคนเดียวเท่านั้น…”
ประโยคนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก ขณะเดียวก็สั่นไหวราวกับมีความรู้สึกร้าวรานบางอย่างทิ่มแทง ไม่รู้ทำไมคุโรโกะถึงไม่อาจปักใจเชื่อคำพูดนั้นได้ทั้งหมด เหมือนว่ามันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวตามรูปประโยค แต่ความหมายที่แท้จริงและความรู้สึกของแนชไม่ได้สื่อถึงเขา
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทั้งหมด…
“คุณแนชเคยตกหลุมรักใครมาก่อนหรือเปล่าครับ…”
“หึงหรือไง” คำพูดทีเล่นทีจริงแผ่วเบาและซุกซน รอยยิ้มอันตีความหมายไม่ได้นั้นทำให้ร่างบอบบางรู้สึกเกร็ง ปลายจมูกโด่งซุกไซ้บริเวณซอคอขาวเนียน ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับจูบแผ่วเบา
คุโรโกะไม่รู้ว่านั่นเป็นการเลี่ยงคำถามหรือไม่ แต่เขาก็ยังคงถามต่ออย่างดื้อดึงด้วยใจที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ช่วงอายุของแวมไพร์นั้นยาวนานกว่ามนุษย์ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เจอความรักในช่วงเวลานั้น
“ผมก็แค่อยากรู้ว่าก่อนคุณมาเจอผม คุณเคยผ่านใครมาบ้าง...”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบหลังจบประโยคนั้น แนชมองลึกเข้ามาในดวงตาของเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ มีเพียงเสียงหยดน้ำจากฝักบัวตกกระทบหลงบนพื้นกระเบื้องอย่างเป็นจังหวะ เสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยินกลับดังชัดเจนภายในห้องอาบน้ำที่เสียงสะท้อนก้อง คุโรโกะกระพริบตาด้วยความหวั่นใจ พยายามมองเข้าไปในดวงตาคมเพื่อหาคำตอบ แต่นัยน์ตาอันลึกล้ำนั้นกลับปิดกั้นไม่ให้ผู้ใดได้ล่วงรู้
ปลายนิ้วที่เกาะเกี่ยวกันและกันยังคงแนบแน่น ทั้งที่ใบหน้าเปียกชื้นหยดน้ำแต่เขากลับรู้สึกราวกับมีหยดเหงื่อบนขมับ กระทั่งเวลาผ่านไปหลายวินาทีรอยยิ้มที่ไม่อาจรู้ความหมายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาคมกริบทอประกายแสงเรียบเฉยเพียงแค่วูบเดียวก่อนจะกลับมาเป็นนัยน์ตาอ่อนโยนดั่งเดิม
“เคยมี”
คำตอบนั้นทำให้คุโรโกะหายใจสะดุด หน้าอกปวดร้าวอย่างน่าอึดอัด
“ใครหรอครับ…”
ปากเผลอถามออกไปก่อนที่ตัวเองจะทันรู้สึกตัว ไม่รู้ทำไมถึงต้องอยากรู้รายละเอียด ใครกันคือคนที่แนชเคยหลงรัก คนๆ นั้นเป็นคนแบบไหน ผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วตอนนี้คนๆนั้นเป็นยังไง คุโรโกะคิดว่าความอยากรู้ของมนุษย์ได้เล่นงานเขาเข้าให้แล้ว ทั้งที่ความจริงการไม่รู้เรื่องอะไรเลยตั้งแต่แรกอาจจะดีเสียกว่า
“เป็นคนที่ฉันเคยเล่าให้นายฟัง คนที่ตั้งชื่อให้ฉัน”
ฉันพลันนั้นเองคำพูดของแนชแวบเข้ามาในหัว
...คนสำคัญเป็นคนตั้งชื่อใหม่ให้กับฉัน คนที่มอบความรักและความสำคัญให้กับฉัน เขาคือชีวิตทั้งชีวิตของฉัน…
ประโยคในควาทรงจำที่เต็มไปด้วน้ำเสียงถวิลหาทำให้หน้าอกของคุโรโกะเจ็บแปลบ...
“เธอคนนั้นเป็นผู้หญิง ความสัมพันธ์ของเราก็เหมือนกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คอยสนับสนุนกันและกัน แต่ว่าเราก็ไม่มีทางได้ครองคู่กัน” น้ำเสียงของแวมไพร์หนุ่มเรียบเฉยจนไม่อาจเดาความรู้สึกที่แท้จริงได้
“คุณได้ลงเอยกับเธอหรือเปล่าครับ”
“คิดว่าลงเอยในความหมายแบบไหนล่ะ” แนชถาม “ความสัมพันธ์ฉาบฉวยชั่วข้ามคืน คนรักธรรมดาทั่วไป หรือว่าแต่งงานกินอยู่ด้วยกัน?”
คุโรโกะไม่มีคำตอบแก่คำถามนั้น แนชยิ้มบางอย่างไม่ติดใจพลางลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ
“ฉันชอบเธอคนนั้นแค่ฝ่ายเดียวมากกว่า เธอเองก็รู้ดีว่าฉันคิดยังไง และเพราะเธอเป็นคนตรงไปตรงมาถึงได้หักอกฉันได้อย่างหน้าตาเฉย ถึงจะเจ็บแต่เราก็ยังเป็นมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนเหมือนเดิม”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“เธอคนนั้นแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น และลงเอยด้วยการมีลูกด้วยกัน”
“...”
“ฟังดูมีความสุขใช่ไหม”
มือหนาวางทับลงบนใบหน้า ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพลางเกลี่ยปลายนิ้วไปมาบนผิวแก้มขาว
“แล้วตอนนี้เธอคนนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
ความเงียบอันน่าอึดอัดโอบล้อมพวกเขาอยู่นานหลายวินาที รอยยิ้มที่ไม่เลือนหายไปจากบนใบหน้าดูแฝงความเศร้าบางอย่าง นัยน์ตาคมหม่นแสงชั่ววูบเดียวอย่างที่คุโรโกะไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่เมื่อคุโรโกะกระพริบตาภาพความเศร้าบนสีหน้าชายหนุ่มก็หายไป
“เธอตายแล้ว”
คำตอบนั้นราวกับนาฬิกาหยุดเวลา หัวใจที่เต้นสม่ำเสมอพลันกระตุกหนึ่งครั้งราวถูกลวดหนามบีดรัดรุนแรง คุโรโกะเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ ความรู้สึดผิดถาโถมเข้ามาจนไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไรต่อ รู้ตัวเองดีว่าได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไปซะแล้ว
“ขะ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะ…”
“ไม่เป็นไร” แนชตอบ รอยยิ้มอันนุ่มนวลยังคงประดับอยู่บนใบหน้า
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ?”
เป็นอีกครั้งที่ปากไปไวกว่าความรู้สึก ทั้งที่หน้าอกรู้สึกเจ็บร้าวแต่กลับไม่อาจหักห้ามความอยากรู้ของตัวเองได้
แนชมองคุโรโกะด้วยแววตาแปลกใจ นัยน์ตากระจ่างใสหรี่มองใบหน้าหวานอย่างอ่อนโยน
“เหมือนกับที่เกิดกับทุกคนนั่นแหละ”
น้ำเสียงของแนชแผ่วเบาคล้ายพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มนั้นดูเศร้าหมองอย่างที่คุโรโกะไม่เคยเห็น แต่ก็เหมือนอย่างเคย... ภาพอันไม่น่าเชื่อเหล่านั้นปรากฏบนใบหน้าของแวมไพร์หนุ่มเพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น
ความจริงคุโรโกะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกตัวเขาว่าไม่ควรจะถามไปมากกว่านี้ แต่ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในหัว คุโรโกะคิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เขาก็คิดเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ได้แล้ว
“เธอคนนั้นเป็นมนุษย์หรอครับ” คุโรโกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดๆ “ก็มนุษยน่ะ...สักวันก็ต้องตายนี่ครับ…”
แนชไม่พูดอะไร ชายหนุ่มเพียงแค่หัวเราะขึ้นจมูกกับตัวเอง นัยน์ตาสีฟ้าเข้มเหลือบตามองเขาอย่างเอ็นดูอยู่ครู่หนึ่ง
“สักวันฉันจะเล่าเรื่องของเธอคนนั้นให้ฟัง” ริมฝีปากหยักยกยิ้ม ไม่ยอมตอบคำถาม
“...”
รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นทำให้คุโรโกะรู้สึกเจ็บปวด…
ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย เรื่องของคนที่คุณเคยรัก...
เป็นเพียงแค่คำเถียงในใจที่ไม่คิดจะเอ่ยปากบอก คนตัวเล็กก้มหน้าลงด้วยรอยยิ้มฝืด คุโรโกะไม่เข้าใจว่าแนชต้องการจะสื่ออะไร ยิ่งทำให้ความอึดอัดรัดหัวใจแน่นจนเจ็บหน้าอก
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อผู้หญิงนิรนามคนนั้นอัดแน่นอยู่ข้างใน รู้ดีว่าสถานะคนเคยชอบก็เป็นแค่เพียงอดีต แถมผู้หญิงคนนั้นก็ตายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลเลยที่ต้องไปนึกอิจฉาคนที่ไม่มีตัวตนรวมถึงความหึงที่มีต่อผู้ชายคนนี้ คุโรโกะไม่เคยมีแฟนมาก่อนในชีวิต ดังนั้นจึงไม่เคยเข้าใจว่าความรู้สึกนี้มันหมายถึงอะไร ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนช่างริษยา แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องรู้สึกไม่ชอบใจยามนึกถึงช่วงเวลาที่แนชใช้เวลาร่วมกับหญิงสาวคนนั้น…
ความหึงหวงตีสลับกับความน้อยใจ ความคิดด้านลบเริ่มทำให้ใบหน้าหวานพลันเศร้าหมอง ทุกการกระทำที่แนชเคยทำกับเขา ความอ่อนโยน ความใจดี รวมถึงความดุดันอันเร่าร้อนของความรักที่รุนแรง… ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแนชคงจะเคยทำกับคนรักเก่ามาหมดแล้ว
คุโรโกะเพิ่งจะมารู้สึกตัวบัดเดี๋ยวนี้ ว่าตัวเองไม่ชอบเป็นตัวตายตัวแทนของใคร...
“ผมว่าเราขึ้นจากอ่างกันดีกว่านะครับ น้ำมันเริ่มเย็นแล้ว”
คุโรโกะพยายามจะหลบออกไปจากสถานการณ์ที่อธิบายไม่ได้นี้ ไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเผลอทำเสียงหงุดหงิดออกไปมากแค่ไหน
เขาตัดสินใจลุกจากอ่างอาบน้ำ แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องชะงักเมื่อแนชไม่ยอมคลายฝ่ามือที่เกี่ยวรัดกันอยู่ คุโรโกะมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ หัวใจพลันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อถูกแววตาสีเข้มจ้องมอง
“ฉันมีแค่นายคนเดียวนะ”
ประโยคที่เอ่ยออกมาราวกับรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด คุโรโกะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้ตัวเองถูกชายคนนี้ควบคุม แต่ว่ามันก็ช่างทำได้ยากเหลือเกิน
“แค่ผมคนเดียว…?”
“อืม” แนชตอบรับ ท่าทางที่ลังเลของคุโรโกะทำให้ดวงตานักล่าหรี่ลง “คืนนี้ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็น”
แนชลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำตามเขา นิ้วมือที่สอดประสานกันค่อยๆ คลายออกอย่างเชื่องช้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุโรโกะจะเป็นอิสระจากชายคนนี้ แววตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองเรือนร่างสูงใหญ่ที่ยืนขึ้นเต็มความสูงด้วยใบหน้าสีชมพูระเรื่อ หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนผิวขาวซีดไหลลู่ตามแรงโน้มถ่วงผ่านช่วงรอยสักดุดันรวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องอันสมส่วน กล้ามเนื้อตึงแน่นกระชากสายตาให้เผลอจ้องมอง ความใหญ่หนาที่มากกว่าชายปกติทำให้ดวงตากลมรีบเบนสายตาขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างรวดเร็วด้วยความเขินอาย
“ฉันมีแค่นาย... นายคนเดียวเท่านั้น...”
แนชโอบเอวบางเข้าหาทำให้ร่างกายแนบชิดกัน แม้จะเพิ่งขึ้นจากอ่างน้ำเย็นเฉียบทว่าร่างกายกลับร้อนผ่าวประหนึ่งถูกไฟสุม มือหนาแตะลงบนเอวบางขณะที่มืออีกข้างเชยปลายคางขึ้นอย่างอ้อยอิง แววตาอันเต็มไปด้วยความปรารถนาผสานกับรอยยิ้มเย็นเยียบได้อย่างไม่น่าไว้ใจ และคุโรโกะรู้ดีว่าดวงตานั้นต้องการจะบอกอะไรกับเขา
“จะทำอะไรครับ” คุโรโกะถามออกไปอย่างหวั่นใจ แนชหัวเราะในลำคอราวกับว่าเขาถามในสิ่งที่โง่มาก ซึ่งคุโรโกะก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน
“จำคืนก่อนที่เราอาบน้ำด้วยกันได้ไหม” ร่างบอบบางถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ท่าอุ้มเจ้าสาวทำให้ใบหน้าหวานแนบชิดบนแผ่นอกตึงแน่น
คุโรโกะพยักหน้ารับ ไม่ยอมเงยหน้าสบตาขณะที่อีกฝ่ายพาเขาออกจากห้องอาบน้ำแล้วมุ่งไปยังเตียงนอน เขารับรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ร่างของเขาถูกวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ราวกับเด็กน้อยวางตุ๊กตาแก้วไว้บนชั้นด้วยความทะนุถนอม
“มาต่อกันจากคืนที่แล้วเถอะ...”
เสียงทุ้มดังแผ่วเบาราวกับกระซิบ คุโรโกะไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือตกลง แต่ดวงตาหวานที่ช้อนตาขึ้นมองน้อยๆ ได้กระชากสติสัมปชัญญะจากแวมไพร์หนุ่มไปจนหมด สัตว์ร้ายที่หลับใหลอยู่ภายในกายมาเนิ่นนานคลี่ยิ้มพึงพอใจอย่างยินดี ท่วงท่าอันแสนน่ารักน่าชังกับผิวกายสีขาวบริสุทธิ์กระตุ้นให้สัญชาตญาณนักล่าตื่นตัวอย่างเต็มที่ ท่าทางอันไม่ประสีประสานั้นแหละที่น่าเร้าใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“เท็ตสึยะ…”
เสียงเรียกชื่อนั้นดังกระซิบอย่างเย้ายวนที่ข้างใบหู มือหนาลูบไล้ไปตามเรียวขาอ่อนอย่างเชื่องช้า กลีบปากบางไล้ผ่านทุกส่วนด้วยสัมผัสอ่อนโยน คุโรโกะผวาเฮือกกับสัมผัสเล้าโลมที่ลากผ่านผิวกายด้วยความปรารถนา ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะต่อต้าน แม้ว่าจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้กลัวเท่าครั้งก่อนที่เกือบลงเอยด้วยกัน
ถึงแม้ว่าความทรงจำจากตอนโดนข่มขืนจะยังคงฝังรากลึกอยู่ข้างใน แต่ว่าการกระทำของแนชนั้นแตกต่าง แวมไพร์หนุ่มไม่ได้เร่งเร้าเขามากจนเกินไป แต่ค่อยๆ ทำไปอย่างช้าๆ ด้วยความนุ่มนวล แม้ว่าจะมีความรุนแรงอยู่บ้างแต่มันก็เป็นความรุนแรงที่เขาเต็มใจยอมรับ ไม่ใช่ความรุนแรงที่พยายามฝืนใจเหมือนกับใครบางคน
“ไม่ต้องกลัว” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างปลอบใจราวกับล่วงรู้ความหวาดหวั่นของคุโรโกะ “มันอาจไม่ง่ายสำหรับนาย แต่ฉันสัญญาว่าฉันจะทำให้ดีที่สุด
ฝ่ามือแข็งแรงประคองใบหน้าของเขาขึ้น ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายความแน่วแน่อยู่ข้างใน
“เชื่อใจฉันนะ”
เสียงทุ้มนุ่มทำให้หัวใจเต้นรัว เป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่คุโรโกะปล่อยให้ชายคนนี้โอบรัดหัวใจเอาไว้ได้ วูบหนึ่งที่คนตัวเล็กนึกตระหนักกับตัวเองว่าควรเชื่อคำพูดนั้นดีหรือไม่ แต่สัมผัสทางกายกลับกดทับความคิดเหล่านั้นไว้ แล้วตัดสินใจปล่อยตัวเองให้ชายคนนี้ควบคุมด้วยความปรารถนาตามต้องการ
เขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับได้แล้ว…
ร่างบอบบางขยับถอยหลังอย่างเชื่องช้าจนถึงหมอน แวมไพร์หนุ่มค่อยๆ ขยับตามมาด้วยท่วงท่าคุกคาม เหมือนกับสัตว์นักล่าที่ไล่ต้อนเหยื่อจนหมดหนทางหนี เมื่อเห็นว่าจนมุมจึงค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า ทำให้สัตว์ไร้ทางสู้จมดิ่งกับความหวาดกลัวถึงขีดสุด แล้วค่อยจัดการพุ่งเข้าฉีกกระชากในทีเดียวอย่างรวดเร็วเพื่อดับลมหายใจ และค่อยละเมียดละไมกับรสชาติอันแสนโอชะอย่างอ้อยอิง
คุโรโกะตัวสั่นน้อยๆ คล้ายกำลังเกร็งและหวาดกลัว แนชยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ท่วงท่าเช่นนั้นช่างน่าเร้าใจยิ่งกว่าท่าทางอันยั่วยวนเสียอีก มือหนาแตะลงบนโครงหน้าหวานเบาๆ ปลายนิ้วกดลงบนผิวแก้มนุ่มนิ่ม ดวงตากลมโตที่สั่นระริกค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างเชื่องช้า
“ไม่เป็นไร นายอยู่กับฉัน… ไม่ต้องเกร็งหรอก”
คนตัวเล็กพยักหน้าเบาๆ แนชแสดงสีหน้าพึงพอใจทันที คุโรโกะไม่รู้ว่านั่นเป็นประโยคคำสั่งหรือว่าขอร้อง เพราะนัยน์คาคมกริบนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันไม่น่าไว้ใจ
ริมฝีปากของเขาถูกประทับอย่างแผ่วเบาด้วยความเสน่หา กลีบปากหยักได้รูปบดคลึงอย่างรุนแรงในคราแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นสัมผัสนุ่มนวลในภายหลัง ดูดดื่มเคล้าคลอกันอยู่นานจวบจนกระทั่งเกือบหมดลมหายใจ ปลายลิ้นหนาสอดเข้ามาข้างในโพรงปากอย่างวางอำนาจพอๆ กับอ้อมแขนแกร่งที่เริ่มโอบเข้าหาตัว คุโรโกะรู้สึกหวามไหวกับสัมผัสอันแสนเร่าร้อนที่ชายหนุ่มมอบให้ ลิ้นของเขาค่อนข้างแข็งทื่อและไม่ค่อยประสีประสา จึงมีแค่เพียงอีกฝ่ายที่เกี่ยวตวัดลิ้นเขาไปมาอย่างสนุกสนานราวกับเริงระบำบนเปลวไฟ ลิ้นหนาสีชมพูเกี่ยวตวัดอย่างชำนาญพลางบดคลึงริมฝีปากนุ่มซ้ำๆ ด้วยความโหยหา
“อืม…”
เสียงครางต่ำดังเบาๆ ในลำคอ คุโรโกะมองแนชด้วยแววตาฉ่ำปรือ เหมือนถูกป้อนด้วยยาเสพติดทีละน้อยจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความเร่าร้อนที่บดริมฝีปากกำลังทำให้เขารู้สึกมัวเมา รสจูบแสนหวานพลันหนักหน่วงตามอารมณ์ มือหนาเริ่มบีบแขนเขาแรงขึ้นเหมือนอารมณ์ที่เริ่มพุ่งทะยานสูง ช่างน่าแปลกที่ความเจ็บเล็กๆ นี้สร้างความพึงพอใจให้แก่เขา ความเจ็บกับความดื่มด่ำจากริมฝีปากร้อนจัดสลับกันไปมา ก่อนจะผสานกันอย่างลงตัวกลายเป็นความเจ็บปวดอันหฤหรรษ์ที่ร่างกายพึงปรารถนา
ลมหายใจของคุโรโกะติดขัด แอร์เย็นฉ่ำสัมผัสผิวขาวเย็นเยียบไปจนขนอ่อนลุกชัน อดไม่ได้ที่จะเผลอยกมือขึ้นคล้องคออีกฝ่าย ความหนาวเย็นกระตุ้นให้เขาโหยหาความอบอุ่นจากคนตรงหน้า
ครั้นได้ลิ้มรสความหอมหวานจากจุมพิตแสนดื่มด่ำตามต้องการ แนชจึงละริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิง น้ำลายเชื่อมต่อกันผ่านปลายลิ้นบ่งบอกถึงความดิบเถื่อนอันรุนแรง คนร่างสูงไล้กลีบปากสีชมพูไปมา จงใจส่งสายตาให้รู้ว่าเสียดายที่ต้องลาจากกลีบปากนุ่มนิ่มตรงหน้า ริมฝีปากที่อวบอิ่มและชุ่มฉ่ำจากจุมพิตดูดดื่มช่างดูเซ็กซี่เย้ายวนโดยบริสุทธิ์
คุโรโกะผ่อนลมหายใจครั้นมือหยาบเริ่มไล้ไปตามเรือนร่างเขามากขึ้นเรื่อยๆ แนชเหลือบมองคุโรโกะอย่างพึงพอใจขณะลากปลายนิ้วผ่านไปตามหน้าท้อง ก่อนจะลากต่ำลงมายังบริเวณใกล้จุดอ่อนไหว คนตัวเล็กผวาเฮือกครั้นปลายนิ้วเย็นเยียบแตะลงบนช่องทางเบาๆ แก้มนวลร้อนผ่าวเกร็งตัวรับสัมผัสที่กำลังโลมเลียอย่างหยอกเย้า
แนชหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ดูมีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งคนตัวเล็ก มือที่กำลังแตะต้องร่างผอมบางราวกับประทับรอยไว้ เหมือนสร้างรอยตำหนิบางอย่างที่คุโรโกะมองไม่เห็น เป็นการสำรวจร่างกายทุกซอกทุกมุมเพื่อยืนยันว่าจะไม่มีใครหน้าไหนรู้จักร่างกายคุโรโกะดีไปว่าตนเอง
คุโรโกะหลุบตาต่ำด้วยความเขินอาย สีหน้าที่แสดงออกมาน้อยๆ ว่ามีความสุขทำให้แนชพอใจ เขาโน้มใบหน้าลงมาประทับรอยจูบลงบนซอกคอขาว คุโรโกะเผลอเอียงคอหนีตามสัญชาตญาณ เสียงครางต่ำดังกระเส่าหวาน สัมผัสร้อนจัดที่แตะลงบนผิวกายทำให้ร่างกายรู้สึกเสียววาบขึ้นมา แนชไล้กลีบปากนุ่มไปมาบนรอยแผลเก่าที่ถูกทาบด้วยรอยสัก เสียงชีพจรเต้นดังตุบๆ ภายใต้ผิวขาวนวลเนียนส่งกลิ่นหอมยั่วยวน มีหลายครั้งที่เขี้ยวคมแตะลงบนผิวแล้วก็ละออกไปประหนึ่งตัดสินใจกับตัวเองว่ายังไม่ใช่ตอนนี้
“ไม่กัดหรอครับ…” เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยความหวาดหวั่น ดวงตากลมโตสั่นระริกอย่างน่ารักน่าชัง
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” แนชบอกอย่างใจดี “ทำไม กลัวหรอ?”
“นิดหน่อยครับ แต่…” คุโรโกช้อนตาขึ้นมอง “ถ้าจะกัดล่ะก็… ช่วยกัดเบาๆ หน่อยนะครับ”
แนชยกยิ้มบนมุมปาก “กลัวเจ็บ?”
คุโรโกะไม่ตอบ เพียงแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าหวาดกลัวเหมือนกับสัตว์ตัวเล็ก แนชจึงสนองความต้องการเด็กน้อยด้วยการเคลื่อนใบหน้าหล่อเข้าไปใกล้บนซอกคอขาวเนียนอย่างนุ่มนวล ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดลงบนผิวกายทำให้เด็กหนุ่มผวาเฮือก
“ค...คุณแนช?” ร่างบางร้องอย่างตกใจ มือเล็กอันสั่นเทาจิกบนไหล่กว้างเบาๆ ขณะที่แผ่นอกแนบชิดติดกัน กล้ามเนื้อตึงแน่นอันร้อนระอุยิ่งทำให้หัวใจของคุโรโกะเต้นเสียงดังกว่าที่เคย
จุมพิตอ่อนโยนประทับรอยจูบแผ่วเบาราวกับเป็นการเตือนล่วงหน้า ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นการกำหนดเป้าหมายให้ตัวเองว่าจะฝังเขี้ยวเข้าไปตรงส่วนไหน คุโรโกะเหลือบตามองชายหนุ่มด้วยใจไม่ค่อยสู้ดีนัก เห็นเพียงกลุ่มผมสีทองงดงามง่วนอยู่บริเวณซอกคอ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขี้ยวคมสีขาวจะฝังเข้ามาตอนไหน
“ถึงกัดเบาๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เจ็บน้อยลงหรอกนะ”
“ผมทราบครับ แต่วา…” มือบอบบางยกขึ้นมาแตะบนเรือนผมสีทองเบาๆ “อย่างน้อยผมก็อยากให้คุณกัดผมอย่างอ่อนโยน”
คุโรโกะรู้ว่านี่เป็นคำขอที่แปลกประหลาด แต่ยังไงเสียเขาก็ไม่มีทางหนีแล้ว อย่างน้อยเขาก็อยากให้อีกฝ่ายทำเบาๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แนชคลี่ยิ้มซุกซนทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะเผลอหลุดหัวเราะออกมา สำหรับแวมไพร์แล้ว...ไม่ใช่เหยื่อทุกคนจะร้องขอให้กัดเบาๆ หรอกนะ
“เป็นคำขอที่น่ารักจังนะ” ปลายจมูกโด่งหอมซอกคอขาวอย่างเนิบช้า “แต่ว่ามันก็เหมือนฉีดยาหรือไม่ก็ไปหาหมอฟันนั่นแหละ จะทำมากทำเบาสุดท้ายก็เจ็บอยู่ดี”
คุโรโกะทำหน้าเจื่อนลงแต่ก็ดูเหมือนจะยอมรับในสิ่งที่กำลังจะตามมา คนร่างบางกอดแนชแน่นขึ้นราวกับหาที่พึ่งจิตใจต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แนชจุมพิตบนต้นคออีกฝ่ายเบาๆ อย่างปลอมประโลม มือหนาข้างหนึ่งแตะที่แผ่นหลังขณะที่อีกข้างจับหลังคอบอบบางไว้อย่างอ่อนโยน
รอบคอขาวนวลส่งกลิ่นหอมยั่วยวนสัญชาตญาณนักล่า แวมไพร์หนุ่มค่อยๆ ลากริมฝีปากผ่านทุกส่วนที่ได้กลิ่นหอมอย่างเนิบช้า ลิ้นหนาแตะชิมรสชาติหวานด้วยความเสน่ห์หา เสียงชีพจรเต้นดังเป็นจังหวะเบาๆ ภายใต้ผิวขาวนวลเนียน แทบไม่อยากเชื่อว่าผิวขาวๆ นี้จะมีโลหิตสีแดงสดไหลเวียนอยู่ทั่วทุกสัดส่วนในร่างกาย ช่างตัดกันอย่างงดงามราวกับดอกกุหลาบบนหิมะก็มิปาน
คุโรโกะตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยครั้นรู้สึกว่าลมหายใจอุ่นร้อนเคลื่อนใกล้เข้ามา ความเย็นเยียบจากปลายเขี้ยวแตะบนผิวหนังอย่างบรรจง และทันใดนั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่เมื่อมันแทงทะลุผิวหนังของเขาลงมาอย่างรุนแรง
“อึก!” คุโรโกะส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บ ใบหน้าหวานแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาอย่างน่าสงสาร มือเล็กที่โอบแผ่นหลังกว้างพลันเกร็งแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
แนชโอบกอดร่างที่สั่นระริกไว้แนบกาย หยาดโลหิตสีสดไหลซึมออกมาผ่านทางบาดแผล ลิ้นหนาซึมซับรสชาติสีแดงสดอันโปรดปรานด้วยความอิ่มเอมใจ ของเหลวเหนียวข้นไหลทะลักเข้าริมฝีปากดุจดั่งสายน้ำ เปรียบเสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตสำหรับปีศาจนักล่ายามรัตติกาล คุโรโกะครางเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด ทว่ามันช่างเป็นเสียงหวานอันน่าฟังนัก ทั้งใบหน้าที่กำลังแสดงความเจ็บปวดและเสียงร้องทรมานที่อดกลั้นความเจ็บไว้ สิ่งเหล่านั้นช่างน่าเร้าใจและกระตุ้นความปรารถนาในกายได้อย่างดีเยี่ยม
แนชครางเสียงต่ำลึกในลำคอ ก่อนจะผละออกมาจากซอกคอขาวอย่างเชื่องช้าครั้นได้ดื่มด่ำโลหิตสมใจ บนคมเขี้ยวสีขาวมีรอยตำหนิเปรอะเปื้อนสีแดงจางๆ ริมฝีปากสีกุหลาบที่แดงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ชายหนุ่มดูน่าขนลุกมากกว่าทุกที
แนชเช็ดปากตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาสีเข้มเปล่งประกายอย่างซุกซน มองดูรอยเลือดสีจางที่เปรอะบนผิวขาว มันไหลออกมาจากปากแผล ค่อยๆ ไหลต่ำลงมาเรื่อยๆ เขาใช้ปลายนิ้วลูบรอยเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของคุโรโกะอย่างเนิบช้า ก่อนจะใช้ปลายลิ้นเลียทำความสะอาดให้จนคราบเลือดจางหายไป คุโรโกะสะดุ้งเฮือกใหญครั้นถูกลิ้นอุ่นร้อนแตะลงบนบาดแผล ดวงตาสีฟ้าครามดูเหม่อลอย ความร้อนเหมือนแท่งเหล็กเขี่ยไฟหลอมสติของเขาให้ค่อยๆ ละลาย แน่นอนว่ามันเจ็บยามเมื่อถูกกดลิ้นลงบนปากแผลย้ำๆ แบบนั้น แต่คุโรโกะกลับไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองกำลังมีความสุข เป็นความเคลิบเคลิ้มที่ลึกๆ ในใจคุโรโกะต้องการปฏิเสธมัน
ความสุขอันบิดเบี้ยวที่มาพร้อมกับความเจ็บปวด...
ใบหน้าของคุโรโกะดูซีดลงถนัดตา ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับมนุษย์ที่ต้องสูญเสียเลือดโดยใช่เหตุในแต่ละวัน คนตัวเล็กดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนแนชแอบรู้สึกผิดในใจ เขาลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากจะกดจูบลงบนกลีบปากบางอีกหนึ่งครั้งราวกับเป็นการขอโทษ
“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
แนชผลักให้คุโรโกะนอนลงบนเตียงอย่างเชื่องช้า ครั้นหัวถึงหมอนคุโรโกะก็รู้สึกเหมือนเปลือกตากำลังหนักอึ้ง ผลจากการสูญเสียเลือดมากทำให้เขารู้สึกอยากพักผ่อน แต่ทว่าแวมไพร์หนุ่มใจร้ายตรงหน้ากลับไม่ยอมให้ทำแบบนั้น
“คุณแนช… อ๊ะ…”
ร่างบางเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงโหยหา ร่างหนาที่เบียดแนบชิดลงมาช่างอบอุ่นต่างกับริมฝีปากร้อนจัดที่ประทับจุมพิตบนเนินอก ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตาเรียวยาวมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความปรารถนา ใบหน้าหวานในตอนนี้ช่างยั่วยวนเขาเสียจนแทบคลั่ง ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้นานกว่านี้แม้แต่วินาทีเดียว
“วันนี้นายเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ฉันจะพยายามไม่ใจร้ายกับนายมากเกินไปก็แล้วกัน”
แค่ที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ใจร้ายมากพอแล้ว… คุโรโกะแอบคิดในใจ
จากการถูกข่มขืนในครั้งนั้นทำให้คุโรโกะผู้ซึ่งอ่อนต่อโลกได้รู้ว่าการจะมีเซ็กส์แต่ละครั้งต้องมีขั้นตอนมากพอดู ต้องทำให้คนทั้งสองมีอารมณ์ใคร่ชอบพอกันจนสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วยความรักอย่างจริงใจ แน่นอนว่าครั้งแรกของเขามันไม่ได้มีความรักเจืออยู่เลยแม้แต่น้อย มันจึงทำให้เขาแอบกลัวอยู่ในใจลึกๆ ว่าแนชจะบังคับให้เขาทำเหมือนกับที่อาโอมิเนะบังคับให้ทำหรือเปล่า
ราวกับแนชอ่านความคิดคุโรโกะได้ เขายิ้มอ่อนโยนให้เด็กน้อย ฝ่ามือแข็งแรงแตะลงบนโครงหน้า
“วันนี้เป็นครั้งแรกของเรา นายไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก” แนชพรมจูบบนหน้าท้องอันถูกทาบทับด้วยรอยสักอันงดงาม “แค่ทำตัวสบายๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันก็พอ”
เสียงจูบดังสะท้อนอยู่ในความเงียบ คุโรโกะเกร็งตัวรับสัมผัสเมื่อแนชลากริมฝีปากต่ำลงมา ชายหนุ่มครอบครองยอดเม็ดสีชมพูมุกอย่างหิวกระหาย ของเหลวชื้นดูดคลึงจนเขาเผลอแอ่นอกรับตามสัญชาตญาณ เสียงครางลอดผ่านริมฝีปากออกมาเป็นระยะอย่างไร้การควบคุม จังหวะอ่อนโยนสลับรุนแรงทำให้สติของเขาเริ่มพร่ามัว ครั้นริมฝีปากร้อนจัดแตะลงบนกระดูกเชิงกรานคุโรโกะก็ต้องกระตุกเกร็งด้วยความกระสันซ่าน
ร่างบางปรือตามองชายหนุ่มที่ค่อยๆ หยัดตัวขึ้น มือหนาแข็งแรงแตะลงบนข้อพับขาของคุโรโกะอย่างแผ่วเบาแล้วจับแยกออกกว้าง แววตาสีฟ้าเข้มดุดันเปล่งประกายท่ามกลางความมืดสลัวใต้แสงจันทร์หลังบานหน้าต่าง คุโรโกะหายใจติดขัดขณะยื่นมือทั้งสองข้างมาปิดไว้ด้วยสีหน้ากระดากอาย ไม่คิดว่าบทสรุปอันร้อนแรงจะดำเนินมาถึงเร็วขนาดนี้
“ปิดทำไม?” แนชถามอย่างหยอกเย้า เขาไม่ได้บังคับให้คุโรโกะเอามือออก แต่คุโรโกะแอบสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัวเข้ามานั่งตรงระหว่างขาเขามากขึ้น
“กะ...ก็มันน่าอายนี่ครับ” เป็นคำตอบที่ไม่จำเป็นต้องคิดเลยแม้แต่น้อย คุโรโกะแอบชำเลืองมองความใหญ่หนาตรงปลายสายตา เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาน้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ยังกลัวอยู่อีกหรือ เอาเถอะ...ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
ไม่มีเค้าความหงุดหงิดเจืออยู่บนใบหน้าหล่อจัดเลยแม้แต่น้อย ปลายนิ้วลากต่ำผ่านจุดอ่อนไหวกลางลำตัวที่กำลังสั่นระริกของเด็กน้อย แนชดูใจเย็นมากจนน่าตกใจ เพราะถ้าเป็นผู้ชายปกติคงไม่ยอมรีรอเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเป็นแน่ บางทีนี่ก็อาจเป็นหนึ่งข้อพิสูจน์ที่บ่งบอกถึงความชำนาญอันมากประสบการณ์ของแวมไพร์หนุ่มตนนี้ก็เป็นได้
แนชตัดสินใจเล้าโลมคนตัวเล็กอีกสักหน่อย เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่อยากทำตัวป่าเถื่อนตั้งแต่เริ่มจนทำให้เด็กน้อยแสนบอบบางของเขาต้องรู้สึกกลัว
มือร้อนหนากอบกุมส่วนอ่อนไหวพลางขยับรูดขึ้นลงเรียกเสียงครางต่ำจากในลำคอของคนตัวเล็ก ปลายนิ้วบนมืออีกข้างไล้ลงไปตามหน้าท้องขณะโน้มตัวลงจูบบนแผ่นอกเปลือยเปล่า รู้สึกหลงใหลในความน่ารักอันบริสุทธิ์ที่มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้แตะต้อง
“อ๊ะ… อ๊า…” เสียงหายใจดังติดขัดแผ่วเบาด้วยความรู้สึกเสียวซาบซ่าน ร่างกายเผลอเกร็งรับสัมผัสทุกครั้งเมื่อถูกชายหนุ่มจับต้อง
และเมื่อความอดทนดำเนินมาถึงฝั่งฝัน ความรู้สึกที่กักเก็บไว้ก็พลั่งพรูออกมาเปรอะเปื้อนฝ่ามือหนา แนชไม่ได้มีท่าทางรังเกียจขณะที่คุโรโกะหอบหายใจ ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากขณะของเหลวเหล่านั้นไหลต่ำลงมาสู่ช่องทาง ทำให้เรียวขาบอบบางเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำโสมมของตัวเอง
ปลายนิ้วเรียวยาวกดย้ำเข้าไปด้านในส่งผลให้คนร่างบางผวาเฮือก พลางเผยอริมฝีปากร้องครางด้วยความกระสันซ่าน ปลายนิ้วที่เย็นเยียบดันของเหลวเหนียวอุ่นเข้ามาภายในช่องทางจนมันฉ่ำชื้น ผนังอุ่นนุ่มตอดรัดนิ้วมือเรียวยาวเป็นจังหวะ คุโรโกะขบริมฝีปากล่างแน่นด้วยความอึดอัดเล็กๆ ในท้องน้อย เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้าอยู่หลายครั้ง ไม่อยากยอมรับว่าความรู้สึกซาบซ่านเล็กๆ นี่ทำให้สติเขาแทบหลุดลอยไปไกล
เมื่อปลายนิ้วเรียวผละออกไปคุโรโกะจึงรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง แต่ความไม่สบายตัวก็ได้บอกเขาว่าตอนนี้ช่องทางของตัวเองกำลังชื้นแฉะมากแค่ไหน นัยน์ตาดุดันจ้องมองลงมา รอยยิ้มเย็นเยียบนั้นกำลังถามเขาว่าพร้อมหรือยัง
แน่นอนว่าคุโรโกะส่ายหน้าไปมาเบาๆ… เขารู้ว่ามันอาจทำให้แนชไม่พอใจ แต่ไม่ว่ายังไงลึกๆ ในใจคุโรโกะก็ยังคงไม่พร้อม…
เขายังกลัว…
กลัวเหมือนกับครั้งแรกที่เคยทำ…
แนชถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม ความใจเย็นของชายหนุ่มทำให้คุโรโกะรู้สึกแอบประทับใจ ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงมาจนสายตาสองคู่ประสานกันอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
“ทำไมเท็ตสึยะไม่คิดว่านี่เป็นครั้งแรกของเราล่ะ” เขากดจูบบนผิวแก้มอย่างปลอบโยน “ครั้งแรกระหว่างคนรักกัน มันไม่มีอะไรน่าเจ็บปวดหรอก มีแต่ความสุขที่รอโอบกอดเราไว้ นายเชื่อใจฉัน… และฉันก็รักนาย… ไม่มีอะไรน่าเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว”
คุโรโกะจ้องเข้าไปในดวงตาสีเข้ม พลางกระซิบเสียงแผ่ว “แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของผมนะครับ…”
“ฉันรู้” คำตอบนั้นทำให้คุโรโกะตกตะลึงอยู่บ้าง แต่แนชไม่ปล่อยจังหวะให้เด็กน้อยได้พูดต่อ “แล้วมันสำคัญยังไงล่ะ”
“เอ๊ะ…”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าครั้งแรกนายจะเสียความบริสุทธิ์ให้แก่ใคร แต่มันสำคัญที่ว่าครั้งแรกนายมอบร่างกายให้ใครด้วยความรักจากใจต่างหาก” ปลายนิ้วเรียวยาวลูบผิวแก้มอย่างบรรจง “และตอนนี้นายยอมมอบร่างกายให้ฉันด้วยความเต็มใจ และฉันจะกอดนายด้วยความรักทั้งหมดที่ฉันมี นั่นแหละคือครั้งแรกระหว่างเราทั้งคู่”
หัวใจของคุโรโกะเต้นดังขึ้น แต่ถึงกระนั้นกลับมีคำโต้แย้งบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
“แต่ว่ายังไงผมก็ไม่ใช่ครั้งแรกของคุณแนชไม่ใช่หรอครับ…” คุโรโกะเอ่ยเถียงด้วยน้ำเสียงแฝงความเศร้า แนชยิ้มมุมปากก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากมน
“นายอาจจะไม่ใช่คนแรกสำหรับฉัน แต่นายจะเป็นคนสุดท้ายสำหรับฉันตลอดไป” คำพูดร้อยเรียงออกมาด้วยความจริงใจ จุมพิตแสนหวานประทับลงบนมาริมฝีปากบางอีกครั้ง คุโรโกะหลับตารับสัมผัสนั้นขณะชายหนุ่มเอื้อนเอ่นจนจบถ้อยคำ
“และนายจะเป็นคนแรกที่ฉันจะมอบความรักทั้งหมดที่มีให้...”
เสียงทุ้มกระตุ้นหัวใจให้เต้นระรัว ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยมาตลอดพลันร้อนผ่าวยิ่งกว่าที่เคย ไม่รู้ทำไมความกลัวถึงได้ทุเลาลงอย่างน่าประหลาดใจ กลายเป็นความเร่าร้อนดั่งเปลวไฟที่บีบรัดหัวใจด้วยความปรารถนา
และเมื่อแวมไพร์หนุ่มหยัดตัวขึ้นอีกครั้ง คุโรโกะก็ไม่อาจละสายตาไปจากความเป็นชายที่อยู่ตรงหน้าได้ ความเขินอายและความต้องการบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาในใจ แวบหนึ่งที่คนร่างบางขบริมฝีปากตัวเองอย่างลังเล
“คุณแนช…” เขาเอ่ยเรียกคนร่างสูงเบาๆ แก้มกลายเป็นสีชมพูอ่อน รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะพูดต่อจากนี้มันช่างน่าอายมากแค่ไหน
“หืม?” แนชตอบรับในลำคอ ดวงตาสั่นระริกสีฟ้าคราหลุบต่ำด้วยความกระดากอาย
“ขอผมทำให้คุณบ้าง… ได้หรือเปล่าครับ?”
คำขอเหนือความคาดหมายทำให้ใบหน้าหล่อจัดแสดงความแปลกใจวูบหนึ่ง เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางเกลี่ยใบหน้าหวานไปมา
“ไม่ม่เหตุผลที่นายจำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“แต่ว่าผม...ไม่อยากรู้สึกดีอยู่ฝ่ายเดียวนี่” คุโรโกะเถียงเบาๆ แก้มเปลี่ยนสีมากขึ้นเรื่อยๆ “อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้…”
คุโรโกะไม่มีความทรงจำดีๆ เลยเกี่ยวกับการใช้ริมฝีปากกระตุ้นส่วนนั้นของอีกฝ่ายให้ขยายขนาดขึ้นด้วยความซาบซ่าน สิ่งที่แวบผ่านไปมาในความทรงจำมีแต่การกระทำอันป่าเถื่อนที่ออกคำสั่งให้เขาทำเช่นนั้นอย่างบีบบังคับ แต่มันกลับเป็นเรื่องน่าตลกร้ายที่มันดันทำให้คุโรโกะเรียนรู้ถึงวิธีการทำ และรู้ว่ามันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกขี้กลัวหลายๆ คน…
ที่เขาต้องทำแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้...
แนชหรี่ตามองเด็กน้อยอย่างพินิจชั่วครู่ รอยยิ้มอันเดาความหายไม่ได้ดูซุกซนกว่าเคย
“ถ้านายว่าแบบนั้น งั้นก็ตามใจ”
แนชบอกคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม เขาดึงแขนคุโรโกะขึ้นนั่งบนเตียงเบาๆ แต่เพียงไม่นานใบหน้าหวานก็ต้องโน้มหน้าต่ำลงไปยังส่วนกลางลำตัวของแวมไพร์หนุ่ม ที่ซึ่งความเป็นชายอันใหญ่หนากำลังแข็งขืนชูชันรอคอยอย่างน่าหวั่นเกรง
คุโรโกะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก แก้มนวลแดงจัดและร้อนผ่าวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แวบหนึ่งเขาเกิดความลังเลขึ้นมา ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าต้องมาลงมือทำอะไรแบบนี้ และที่น่าอายที่สุดคือการที่เขาเอ่ยปากขอทำด้วยตนเองนี่ล่ะ…
“ไม่เป็นไร” มือหนาลูบเรือนผมสีฟ้าครามอย่างเอาใจ “ทำไปอย่างที่นายต้องการเถอะ เก่งไม่เก่งมันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก”
เรื่องที่ต้องอายมันไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย… คุโรโกะแอบเถียงเช่นนั้นด้วยความกระดากอาย
คุโรโกะมองความเป็นชายหนาใหญ่ในมือด้วยความขวยเขินอย่างถึงที่สุด ความมั่นใจที่มีน้อยอยู่แล้วเหมือนจะลดต่ำลงยิ่งกว่าเดิม แต่ถึงกระนั้นร่างกายก็พยายามใช้ความกล้าที่มีค่อยๆ ใช้ลิ้นเล็กแตะลงปากกลีบอย่างเชื่องช้า
“อึก…”
ทันใดนั้นเสียงครางทุ้มดังแผ่วในลำคอ คุโรโกะแอบตกใจที่ได้ยินเสียงร้องแบบนั้นจากปากแนชเป็นครั้งแรก แวมไพร์หนุ่มลูบศีรษะของเขาเบาๆ เหมือนเป็นเชิงบอกว่าให้ทำต่อไป
ลิ้นอวบนุ่มโลมเลียปลายแท่งร้อนอย่างช้าๆ ก่อนจะดูดกลืนเข้าไปจนคับแน่นภายในโพรงปาก ขนาดของมันขยายขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นร้อนภายในโพรงปากที่หวานดุจน้ำผึ้ง คนตัวเล็กค่อยๆ ใช้ริมฝีปากดูดขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะเนิบช้า พลางใช้ปลายลิ้นม้วนพันรอบความหนาใหญ่จากโคนจรดปลายเท่าที่ทำได้
แนชมองดูเด็กน้อยด้วยแววตาอ่อนโยน เขาไม่คาดหวังว่าคุโรโกะจะทำได้ดีแบบพวกผู้หญิงที่เล่นหนังผู้ใหญ่ แต่ก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้ที่คนตัวเล็กทำได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก คุโรโกะเริ่มดูดดื่มแท่งร้อนด้วยความหิวกระหายเป็นจังหวะเร็วขึ้น ลิ้นอันนุ่มนิ่มนั้นกำลังตวัดเลียทุกส่วนที่มันได้สัมผัส กลุ่มผมสีฟ้าครามงดงามขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงคล้ายดูดอมยิ้มอย่างรุนแรงดังแผ่วเบาคลอกับเสียงน้ำลายอันชื้นแฉะ
แนชหลับตาแน่นด้วยความเสียวซ่านที่ปะทุขึ้นมาข้างใน เขารู้สึกเหมือนกำลังจะมีบางอย่างออกมาจากการเล้าโลมอันยอดเยี่ยมของคุโรโกะ ของเหลวหนืดอุ่นร้อนเพิ่มมากขึ้นในขนาดที่เริ่มพองโต และคุโรโกะก็เร่งเร้ามันด้วยการใช้ริมฝีปากดูดกลืนอย่างหนักหน่วงขึ้นทุกวินาที
“เท็ตสึยะ พอก่อน” มือหนาแตะลงบนกลุ่มผมสีฟ้าครามเบาๆ คนตัวเล็กช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองโดนยังไม่ยอมปล่อยสิ่งนั้นออกจากปาก
ทำไมล่ะครับ… ดวงตาใสซื่อกำลังเอ่ยถามเขาแบบนั้น
เหงื่อชื้นเริ่มผุดขึ้นบนผิวขาวซีด ความอดทนที่เคยมีสลายไปราวกับฟองอากาศ แนชต้องผ่อนลมหายใจหลายครั้งราวกับสงบสติอารมณ์ เขาค่อยๆ ดึงคุโรโกะขึ้นแล้วผลักให้เด็กน้อยนอนราบลงที่เตียงดั่งเดิม คนตัวเล็กกระพริบตาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นความเป็นชายที่พองหนากว่าเดิม แก้มขาวก็พลันร้อนผ่าวและแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ให้ฉันเข้าไปข้างในของนายได้แล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดุดันกว่าทุกที นัยน์ตาคมเรียวยามเปล่งประกายถึงความอดทนที่หมดลง และกว่าคุโรโกะจะทันรู้สึกตัว ขาของเขาก็ค่อยๆ ถูกจับแยกออกกว้างอย่างเป็นช้าๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มือหนาจับแท่งร้อนเคลื่อนมาจ่อตรงช่องทางอุ่นนุ่ม
ดวงตากลมโตสั่นระริกขณะที่ส่วนปลายถูไถบริเวณช่องทางอุ่นนุ่มอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาในสมอง คุโรโกะไม่กล้ามองแต่ถ้าไม่มองก็จะพาลจินตนาการไปในทางร้ายๆ ดังนั้นคนตัวเล็กจึงหลับตาพลางจิกหมอนแน่นด้วยความรู้สึกโหวงๆ อย่างน่าประหลาดในช่องท้องน้อย
แล้วทันใดนั้นสะโพกหนากลมมนก็ค่อยๆ ดูดกลืนความใหญ่โตของแวมไพร์หนุ่มเข้าไป
“อ๊า!”
เสียงครางหวานดังลั่นอย่างแผ่วหวาน คุโรโกะหอบหายใจด้วยความรู้สึกกระสันซ่าน เสียวแปลบจนร่างกายเกร็งแน่น ชายหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความลำบากชั่วครู่ เขายิ้มแผ่วเบาพลางยื่นมือลงมาลูบผิวแก้มคุโรโกะเบาๆ
“ไม่เป็นไร ผ่อนคลายไว้…”
คุโรโกะจับมือหนานั้นไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ความอึดอัดในช่องท้องน้อยทำให้เขาหายใจลำบาก ความคับแน่นที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาจนสุดปลายทำให้เขาเผลอกลั้นหายใจชั่ววูบ ความร้อนระอุของชายคนนี้กำลังทำให้ภายในกายเขาแทบหลอมละลาย
แนชโน้มตัวลงมาประทับจุมพิตบนหน้าผากเบาๆ ใบหน้าแสนหวานกำลังฉ่ำปรือด้วยความสุขจากเซ็กส์แบบที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน รอยยิ้มพึงพอใจขยับน้อยๆ บนมุมปากก่อนที่สะโพกหนาจะเริ่มกระแทกกระทั้นเข้าออกอย่างเนิบช้า
“อื้อ!” ความซาบซ่านแล่นไปทั่วทุกส่วนในร่างกายยามร่างสูงขยับเข้าออก ร่างกายที่สั่นคลอนตามจังหวะควบคู่ไปกับเตียงหนาที่ส่ายไปมาน้อยๆ คุโรโกะปรือตามองคนตรงหน้าอย่างยากลำบาก เซ็กส์อันร้อนแรงเริ่มทำให้สติของเขาค่อยๆ มัวเมาราวกับถูกสิ่งเสพติดยั่วยุ
มันไม่ได้เจ็บปวดเหมือนอย่างที่คุโรโกะคิดไว้ ในทางกลับกัน...มันช่างสุขสมรัญจวนใจอย่างที่คุโรโกะไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน คล้ายร่างกายล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าและถูกทิ้งลงมานอนกองบนเหล่าเมฆปุยนุ่ม เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากครั้งแรกในคืนนั้นโดยสิ้นเชิง
นี่คือความอ่อนโยนครั้งแรกที่คุโรโกะได้รับ… นี่น่ะหรือคือความหมายที่แท้จริงของความรักที่เชื่อมต่อกันผ่านทางร่างกาย…
ความรู้สึกนี้ทำให้สติของเขาถลำลึกเกินกว่าจะถอยออกมาได้แล้ว…
“ชะ...ช้าหน่อยครับ” คุโรโกะร้องบอกขณะที่ความปรารถนาถูกเติมเต็มจนเอ่อล้น จังหวะแต่ละครั้งรัวเร็วอยู่หลายนาทีจนสติแทบเลือนหายด้วยความเสียวซ่าน ริมฝีปากร้อนจัดแนบลงบนริมฝีปากบาง ขณะที่มันลากผ่านต่ำลงมายังลำคองดงามเพื่อแต่งแต้มรอยตำหนิแสดงความเป็นเจ้าของ คุโรโกะจับลำแขนแกร่งทั้งสองข้างด้วยปลายนิ้วที่เกร็งแน่น แนชขยับสะโพกเข้าออกช่องทางอุ่นนุ่มด้วยจังหวะหยอกเย้า ค่อยๆ ถอนออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะกระแทกสวนเข้าไปอย่างแรงจนโดนจุดกระสัน คุโรโกะเชิดหน้าขึ้นด้วยสีหน้ายั่วยวนแทบขาดใจ สะโพกแกร่งเคลื่อนเป็นจังหวะเชื่องช้าสลับกับอ่อนโยนแต่บางครั้งก็หนักหน่วง
แวมไพร์หนุ่มเบียดร่างแนบชิดเข้ามา ก่อนที่มือทั้งสองจะประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ปลายนิ้วเรียวยาวเกี่ยวกันอย่างรักใคร่ยากจะมีใครถอดถอนออกไป ริมฝีปากของพวกเขาทั้งสองสัมผัสอีกครั้งด้วยความเร่าร้อน เป็นความรู้สึกเย้ายวนที่แทะโลมริมฝีปากบางด้วยความโหยหาเกินควบคุม คุโรโกะปรือตามองแวมไพร์หนุ่มเอาแต่ใจในระยะประชิด ความปรารถนาอันแสนหวานปรากฏอยู่บนดวงตาสีฟ้าเข้ม รอยยิ้มเยือกเย็นแต่งแต้มบนริมฝีปากบางเฉียบ
“เด็กดี…” ปลายนิ้วโป้งแตะลงบนริมฝีปากอวบอิ่มเบาๆ ราวกับหมั่นเขี้ยวเกินกว่าจะอดใจไหว คุโรโกะประคองใบหน้าหล่อจัดไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง นัยน์ตาสีฟ้าครามสั่นระริก สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกชายคนนี้ควบคุมอย่างสมบูรณ์ ชายที่เขาคอยพร่ำบอกตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าไว้ใจ แล้วดูตอนนี้สิ...คนที่เขาคอยบอกตัวเองว่าอย่าไว้ใจคนนั้น บัดนี้กำลังแทรกส่วนร้อนเข้ามาภายในร่างกายและขยับเข้าออกอย่างเป็นจังหวะโดยมีเขาคอยอ้าขาให้
ไม่ว่าแนชจะเป็นฝ่ายดีหรือร้าย ยังไงเขาก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว…
ร่างกายที่ยังคงเชื่อมต่อกันถูกเน้นย้ำอย่างหนักหน่วงและรวดเร็ว เสียงหอบหายใจปนกับเสียงครางผสานกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นของใคร แสงจันทร์หลังบานหน้าต่างตกกระทบลงบนร่างพวกเขาทั้งสองเกิดเป็นแสงสลัวอันโรแมนติก คุโรโกะยกหลังมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นเสียงครางในขณะที่ใบหน้าของตนแดงระเรื่อจากเซ็กส์อันร้อนแรง แนชขยับกายถี่ยิบมากขึ้นเรื่อยๆ พลางกระแทกหนักๆ เข้าไปอีกหลายครั้ง ความอ่อนโยนในคราแรกเปลี่ยนเป็นความรุนแรงอันตราตึงใจ สิ่งเหล่านั้นคือยาเสพติดชั้นดีที่ทำให้คุโรโกะหลงใหลเคลิบเคลิ้มในความเจ็บปวดที่เขายอมรับ
“อ๊ะ… อ๊า!”
ใบหน้าหวานทรมานกับความสุขสมราวคนใกล้ขาดใจ ท้องน้อยเสียดวาบด้วยความเสียวซาบซ่านเกินจะพรรณนา ความดุดันที่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงก่อให้เกิดหยดเหงื่อไหลซึมบนผิวกายขาวซีด คุโรโกะจิกผ้าปูที่นอนแน่นครั้นสมองเริ่มขาวโพลน มือหนาจับเอวบางไว้แน่นขณะสาวสะโพกเข้าออกรัวเร็ว
“เท็ตสึยะ… ฉันจะ…” เสียงทุ้มขาดห้วงปนลมหายใจหอบดังกระซิบ คุโรโกะปรือตามองสะโพกแกร่งที่นอกจากจะไม่ผ่อนแรงลง แต่กลับหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที นัยน์ตากลมโตเบนสายตาขึ้นมองใบหน้าหล่อจัดที่คล้ายกำลังจะหมดความอดทน เด็กน้อยยื่นมือขึ้นไปด้วยแววตาอ้อนวอน ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยคำพูดเสียงสั่นเครือ
“ได้โปรดกอดผม...ได้ไหมครับ…” ปลายนิ้วแตะลงบนโครงหน้าหล่อเหลา “ผมอยากไป… อ๊ะ… พร้อมกันกับคุณ…”
มีความตกตะลึงเล็กน้อยบนแววตาคู่นั้น ทว่าเพียงไม่นานมันก็แปรเปลี่ยนเป็นแววตาอ่อนโยน
แวมไพร์หนุ่มโน้มตัวต่ำลงมา คุโรโกะยกมือกอดแผ่นหลังกว้างไว้อย่างแนบแน่น เสียงลมหายใจหนักหน่วงคลอเคลียข้างใบหูดั่งเสียงกระซิบ ได้ยินเสียงกระทบอันน่าอายจากร่างกายที่กำลังสอดประสานกันเป็นจังหวะท่ามกลางความเงียบงันยามรัตติกาล ผิวเนื้อเสียดสีกันอย่างเร่าร้อน รู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นจัดที่แนบลงบนต้นคอเบาๆ ความเสียวซ่านแทบขาดใจแล่นทั่วร่างทุกวินาทีที่ชายหนุ่มขยับกายเร็วขึ้น
“อึก! อ๊ะ… อ๊ะ… อ๊า!”
“เท็ตสึยะ… อึก… เท็ตสึยะ…”
เสียงแหบพร่าเรียกชื่อเขาดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะอารมณ์ของแวมไพร์หนุ่มใกล้ถึงจุดหมาย ความเป็นชายแข็งขืนเรียกร้องจะปลดปล่อยเต็มช่องทางอุ่น แนชกอดคุโรโกะแน่นขึ้น สะโพกหนาขยับเข้าออกเป็นจังหวะแรงขึ้นและแรงขึ้นเรื่อยๆ
“อ๊า!”
เสียงหวานดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลทะลักเข้ามาเต็มภายใน ร่างบางครางเสียงกระเส่าหวานด้วยความอ่อนเพลีย ความสุขสมอันร้อนแรงแทบหลอมสติอันเลือนรางให้หลอมละลาย ร่างกายบอบบางกระตุกเกร็งครั้นของเหลวอุ่นยังคงทะลักเข้ามาจนหยดสุดท้าย ปริมาณที่มากเกินไปทำให้เขารู้สึกว่าทั่วท้องน้อยกำลังร้อนผ่าว แนชกระตุกสะโพกหนึ่งครั้งเมื่อของเหลวอุ่นพรั่งพรูเข้าข้างใน ความสุขสมเจือบนแววตาคู่สวยด้วยความพึงพอใจที่ได้ปลดปล่อยเต็มช่องทางของเด็กน้อยสมความต้องการ
แนชทิ้งตัวลงนอนบนร่างของคุโรโกะ ปลายจมูกหอมเรือนผมสีฟ้าครามอย่างปลอมประโลม คุโรโกะที่กำลังหอบหายใจเหม่อสายตามองเพดานด้วยแววตาเลื่อนลอย
“นายเป็นของฉันแล้วนะ…”
คล้ายราวกับมีโซ่ขนาดใหญ่ผูกคอคุโรโกะไว้ด้วยถ้อยคำนี้ เป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นในความหมาย คนตัวเล็กหลับตา รู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องจบลงแบบนี้ และเขาก็รู้ตัวเองดีมาตั้งแต่แรกว่าไม่อาจปฏิเสธผู้ชายคนนี้ได้ ไม่ว่าจะพยายามหลอกตัวเองเท่าไร ก็ต้องถูกมือทั้งสองโอบอุ้มกักขังไว้อีกอยู่ดี
คุโรโกะโอบกอดแนชไว้แนบกาย เขารู้สึกได้ถึงความร้อนระอุของคนตรงหน้า แนชจุมพิจบนหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล้ต่ำลงมาประทับจูบบนกลีบปากบางอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงของเหลวอุ่นที่ไหลออกมาตามเรียวขาแม้ว่าส่วนนั้นจะยังคงสอดแทรกคาไว้อยู่ หัวใจดวงน้อยยังคงเต้นรัว แต่เพียงไม่นานมันก็ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ คุโรโกะหลับตาลงขณะที่มือบางโอบกอดแผ่นหลังกว้างแน่นขึ้นกว่าเดิม และไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ร่างกายของเขาถึงได้สั่นระริกขึ้นมา…
“เท็ตสึยะ…”
แนชรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่แปลกไป แม้ว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้าของคุโรโกะในตอนนี้ แต่เขาดีว่าตอนนี้คุโรโกะกำลังทำสีหน้าเช่นไร…
“ร้องไห้ทำไม”
คำถามที่เอ่ยอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นตัวจี้จุดที่ทำให้ไหล่บางสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ คุโรโกะปล่อยให้ของเหลวร้อนผ่าวไหลออกจากดวงตาอย่างเชื่องช้า มันค่อยๆ รินออกจากหางตา ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นหมอนอย่างเงียบงัน คุโรโกะเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น แขนที่กำลังโอบรอบแผ่นหลังกว้างไว้ก็กำลังสั่นไม่ต่างกัน...
“คุณจะไม่หลอกผมใช่ไหมครับ….”
“...”
คุโรโกะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้นและแผ่วเบา...
“คุณจะไม่หลอกผมใช่ไหมครับ… ฮึก… จะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม…”
“...”
“ผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว… พยายามจะไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว… คุณเป็นที่พึ่งคนเดียวที่ผมมี เพราะฉะนั้นได้โปรด…”
“...”
“อย่าหักหลังผมเลยนะครับ…”
ราวกับเป็นคำของร้องอ้อนวอนมากกว่าคำสัญญา แนชไม่เคยเห็นคุโรโกะดูสิ้นหวังมากขนาดนี้มาก่อน คนตัวเล็กรู้ดีถึงการตัดสินใจอันบ้าบิ่นของตัวเอง รู้ว่าการเลือกมาทางนี้นั่นหมายความว่าเขาต้องละทิ้งความรู้สึกที่มีแก่พวกอาคาชิทิ้งไป เท่ากับว่าทางเลือกที่คุโรโกะกำลังยืนอยู่นั้นคือทางเลือกสุดท้ายที่อาจทรยศเขาได้ทุกเมื่อ...
วูบหนึ่งนัยน์ตาสีเข้มเรียบเฉยอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดได้ เพียงไม่นานมันก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เดาความหมายไม่ได้เหมือนเคย
“เรื่องนั้นน่ะ…”
“อ๊ะ!!”
ในฉับพลันร่างของคุโรโกะถูกจับนอนพลิกก่อนที่สะโพกกลมมนจะถูกยกขึ้น แนชก้มลงจูบแผ่นหลังบอบบางจนคนตัวเล็กผวาเฮือก ปลายนิ้วไล้ไปตามแนวกระดูกสันหลังอย่างเชื่องช้า พลางพรมจูบตามลงมาด้วยความรักใคร่
“อ๊า!” แวมไพร์หนุ่มขยับกายเข้าออกอีกครั้งด้วยจังหวะเนิบช้า บทเพลงรักอันเร่าร้อนยังคงดำเนินต่อไป ร่างกายของเขาโยกไหวเบาๆ ตามจังหวะการชักนำของอีกฝ่าย และจากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาคลอเคลียข้างใบหู
“ฉันให้สัญญา”
คำกระซิบนั้นอ่อนโยนและหนักแน่น คนตัวเล็กคิดว่ามันมีค่าพอที่เขาจะเชื่อ คุโรโกะรับสัมผัสที่โอบกอดเขาไว้ราวกับของมีค่า ปลายนิ้วที่เรียวยาวกว่าสอดประสานกับนิ้วมือของเขาอย่างแนบแน่น คุโรโกะตัดสินใจละทิ้งความรู้สึกที่ไม่จำเป็นทุกอย่าง และปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำกับความรู้สึกแสนหวานในค่ำคืนนี้ด้วยหัวใจที่ยังคงเต็มไปด้วยความสับสน
ในตอนนั้นดวงตากลมโตเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นจันทราสาดแสงเป็นประกายอยู่หลังกรอบหน้าต่าง เปลือตาบางค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้าด้วยหัวใจที่ยังคงปวดร้าว ไม่รู้ทำไมจึงไม่อาจห้ามน้ำตาที่กำลังไหลรินอย่างเงียบงันได้..
เขาหนีไปไหนไม่ได้แล้ว…
คำๆ นั้นสะท้อนไปมาภายในหัว นกสีฟ้าบินหนีออกจากกรงสีแดง กางปีกโผบินอย่างอิสระเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะถูกจับใส่กรงใหม่อีกครั้ง แต่กรงใหม่ในครั้งนี้ดูกว้างกว่าและสวยงามกว่าเดิม มันประดับไปด้วยสีทองงดงามและเจ้าของจะปล่อยให้มันออกมาบินเล่นทุกครั้งเป็นเวลาไม่กี่นาทีในแต่ละวัน อิสระที่ได้มาเพียงแค่ชั่วครู่แลกกับการต้องกับไปอยู่ในกรงอีกครั้งเมื่อเจ้าของเอ่ยเรียก นกสีฟ้ารู้ว่ามันไม่ใช่อิสระที่แท้จริงแต่นกสีฟ้าก็จะยังคงอยู่ในกรงนี้ต่อไป
เพราะทันทีที่มันโผบินเข้ามา มันก็ได้ถูกล่ามขาไว้กับกรงเรียบร้อยแล้ว…
____________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น